Advertisement

Dynamic of World Oil Palm Demand & Supply and Thailand strategy

รายงานผู้เชี่ยวชาญ: การวิเคราะห์พลวัตตลาดน้ำมันปาล์มโลกและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนและรายได้ที่ดีของเกษตรกรไทย

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

รายงานฉบับนี้ได้นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับอุปสงค์ อุปทาน และราคาของปาล์มน้ำมัน น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์กลางน้ำในตลาดโลก โดยเน้นบทบาทสำคัญของอินโดนีเซียและมาเลเซียในฐานะผู้ผลิตหลัก รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายและการบริหารจัดการในประเทศไทย การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคในภาคอาหารและนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพที่เข้มงวดขึ้นในประเทศผู้ผลิตหลัก ขณะที่อุปทานเผชิญกับข้อจำกัดที่สำคัญจากสวนปาล์มที่แก่ตัวลง อัตราการปลูกทดแทนที่ล่าช้า การขาดแคลนแรงงาน และผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่ผันผวน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นและผันผวน

สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสามของโลก แต่มีอิทธิพลต่อราคาตลาดโลกเพียงเล็กน้อย ความท้าทายหลักอยู่ที่โครงสร้างเกษตรกรรายย่อยที่มีผลผลิตต่อไร่ต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง และการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และความยั่งยืนของเกษตรกร การแทรกแซงราคาของภาครัฐ แม้จะช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็ไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืนในระยะยาว

รายงานนี้เสนอแนะแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับประเทศไทย เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรและเพิ่มปริมาณการผลิตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต้นน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานเพื่อความเป็นธรรมในการกำหนดราคา การกระจายความต้องการใช้ในประเทศ และการเสริมสร้างกรอบนโยบายที่ชัดเจนและยืดหยุ่น การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้ที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น และอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

1. บทนำ: ภูมิทัศน์ปาล์มน้ำมันโลก

ความสำคัญระดับโลกของปาล์มน้ำมัน

ปาล์มน้ำมันเป็นพืชน้ำมันที่มีศักยภาพในการผลิตน้ำมันสูงที่สุดเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น มะพร้าว มะกอก ฝ้าย ถั่วลิสง ถั่วเหลือง และดอกทานตะวัน โดยมีอัตราการผลิตน้ำมันต่อไร่สูงถึง 6-10 เท่า ความสามารถในการผลิตที่โดดเด่นนี้ทำให้ปาล์มน้ำมันมีสัดส่วนสูงถึง 36% ของปริมาณการผลิตน้ำมันพืชทั่วโลก แม้ว่าพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทั่วโลกจะมีเพียง 5% ของพื้นที่เพาะปลูกพืชน้ำมันทั้งหมดก็ตาม  

นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา น้ำมันปาล์มได้กลายเป็นน้ำมันพืชที่บริโภคมากที่สุดในโลก การใช้งานที่หลากหลายครอบคลุมหลายภาคส่วน: กว่าสองในสาม (68-72%) ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น อาหารแปรรูป น้ำมันปรุงอาหาร ขนมอบ และเนยเทียม ประมาณ 18% ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเกือบหนึ่งในสี่ถูกนำไปใช้ในเชื้อเพลิงชีวภาพ  

ความต้องการปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกนั้นเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับประสิทธิภาพที่โดดเด่นของพืชชนิดนี้ ความสามารถในการผลิตน้ำมันจำนวนมากจากพื้นที่เพาะปลูกที่จำกัดทำให้ปาล์มน้ำมันเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเชิงเศรษฐกิจและปฏิบัติเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการทำลายป่า แต่การพึ่งพาปาล์มน้ำมันก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากพืชชนิดนี้ใช้พื้นที่น้อยกว่ามากในการผลิตน้ำมันปริมาณเท่ากันเมื่อเทียบกับพืชน้ำมันชนิดอื่น ๆ ดังนั้น การพึ่งพาปาล์มน้ำมันของตลาดโลกจึงมีลักษณะเชิงโครงสร้างอย่างลึกซึ้ง การพยายามทดแทนปาล์มน้ำมันด้วยน้ำมันชนิดอื่นอย่างสิ้นเชิงอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินที่กว้างขวางขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงกว่าในพื้นที่อื่น ๆ การตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นไปที่การผลิตปาล์มน้ำมันที่ยั่งยืน แทนที่จะพยายามกำจัดมันออกจากตลาดโดยสิ้นเชิง  

สถานะของประเทศไทยในตลาดปาล์มน้ำมันโลก

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) รายใหญ่อันดับสามของโลก โดยมีผลผลิตคิดเป็นประมาณ 4.30% ของผลผลิตทั่วโลกในปี 2564 และ 4% ในปี 2567/2568 อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย ประเทศไทยยังคงเป็นผู้เล่นรายเล็ก และด้วยเหตุนี้จึงมีอิทธิพลต่อราคาปาล์มน้ำมันในตลาดโลกเพียงเล็กน้อย  

ลักษณะสำคัญของภาคปาล์มน้ำมันของไทยคือการมุ่งเน้นตลาดภายในประเทศเป็นหลัก: กว่า 80% ของผลผลิตประจำปีถูกบริโภคภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่ใช้สำหรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและน้ำมันปรุงอาหาร การที่ประเทศไทยเป็นผู้เล่นที่มุ่งเน้นตลาดภายในประเทศนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยดำเนินงานโดยมีเป้าหมายหลักคือการพึ่งพาตนเองด้านน้ำมันพืชและเชื้อเพลิงชีวภาพ มากกว่าการเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่หรือผู้กำหนดราคาในตลาดโลก การทำความเข้าใจในบทบาทนี้ชี้ให้เห็นว่านโยบายของประเทศควรเน้นไปที่ความมั่นคงของตลาดภายในประเทศและสวัสดิการของเกษตรกรเป็นหลัก โดยมีโอกาสในการส่งออกเป็นเป้าหมายรองหรือโอกาสที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว  

วัตถุประสงค์และขอบเขตของรายงาน

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของตลาดปาล์มน้ำมันทั่วโลก ครอบคลุมพลวัตของอุปทาน อุปสงค์ และราคา โดยจะเน้นเป็นพิเศษถึงบทบาทของอินโดนีเซียและมาเลเซียในฐานะผู้ผลิตหลัก และผลกระทบต่อภาคปาล์มน้ำมันของประเทศไทย วัตถุประสงค์หลักคือการกำหนดข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้สำหรับประเทศไทย ข้อเสนอแนะเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เกษตรกรปาล์มน้ำมันมีรายได้ที่ดีและยั่งยืน พร้อมทั้งระบุแนวทางที่เป็นไปได้ในการเร่งการผลิตภายในประเทศในลักษณะที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป รายงานจะเจาะลึกถึงความท้าทายที่เกษตรกรไทยเผชิญ และเสนอแนวทางแก้ไขที่ช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของพวกเขาและความอยู่รอดของอุตสาหกรรมในระยะยาว

2. การวิเคราะห์อุปทานปาล์มน้ำมันโลก

2.1 ประเทศผู้ผลิตหลัก: ปริมาณการผลิตและส่วนแบ่งตลาด

  • อินโดนีเซีย อินโดนีเซียเป็นผู้นำที่ไม่มีใครโต้แย้งในด้านการผลิตและการส่งออกปาล์มน้ำมันของโลก โดยมีส่วนแบ่งประมาณ 59% ของผลผลิตทั่วโลก และคิดเป็น 55.5% ของการส่งออกทั่วโลก พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันรวมของประเทศสูงถึง 16.381 ล้านเฮกตาร์ในปี 2562 โดยมีการเพาะปลูกกระจุกตัวอยู่ในสุมาตราและกาลิมันตัน   สำหรับการตลาดปี 2567/2568 ผลผลิตของอินโดนีเซียคาดการณ์อยู่ที่ 45.5-46 ล้านเมตริกตัน (MMT) และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 47 MMT ในปี 2568/2569 การเติบโตที่คาดการณ์ไว้นี้เป็นผลมาจากผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและการใช้ปุ๋ยที่เพียงพอ   ในด้านโครงสร้างการครอบครองพื้นที่ สวนของบริษัทเอกชนคิดเป็น 48.5% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด และมีสัดส่วนการผลิตที่สูงกว่า (53.5-56% ของผลผลิต CPO ทั้งหมด) ในทางกลับกัน เกษตรกรรายย่อย ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีพื้นที่น้อยกว่า 25 เฮกตาร์ คิดเป็น 45% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด แต่มีส่วนร่วมในการผลิตเพียง 38% ของผลผลิตรวม   ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพการผลิตนี้บ่งชี้ว่าการปรับปรุงแนวทางการทำฟาร์มของเกษตรกรรายย่อยและการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น เช่น กล้าพันธุ์คุณภาพสูงและการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสม สามารถปลดล็อกอุปทานเพิ่มเติมจำนวนมากได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นอีก หากอินโดนีเซียสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรรายย่อยได้อย่างมีนัยสำคัญ จะส่งผลให้ปริมาณอุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาในตลาดโลก สำหรับประเทศไทย การติดตามโครงการพัฒนาเกษตรกรรายย่อยของอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากความสำเร็จของโครงการเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงสมดุลอุปสงค์-อุปทานในตลาดโลกได้  
  • มาเลเซีย มาเลเซียเป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของโลก โดยมีส่วนแบ่งประมาณ 24% ของผลผลิตทั่วโลก และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสอง คิดเป็น 29% ของการส่งออกปาล์มน้ำมันทั่วโลก การผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในมาเลเซียเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 18.55 MMT ในปี 2566 เป็น 19.34 MMT ในปี 2567 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 19.5 MMT ในปี 2568 โดยคาดการณ์ที่ 18.55 MMT สำหรับปี 2568/2569 โดยมีสมมติฐานว่าสภาพอากาศเป็นปกติ   ในด้านการครอบครองพื้นที่เพาะปลูก สวนของบริษัทเอกชนมีสัดส่วนมากที่สุดที่ 61.1% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด เกษตรกรรายย่อยอิสระคิดเป็น 16.7% ขณะที่เกษตรกรรายย่อยในระบบ (บริหารจัดการโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น FELDA, FELCRA และ RISDA) คิดเป็น 16.6% เป็นที่น่าสังเกตว่าเกษตรกรรายย่อยรวมกันมีส่วนร่วมในการผลิตปาล์มน้ำมันของมาเลเซียถึง 40%   อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของมาเลเซียเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ รวมถึงสวนปาล์มที่แก่ตัวลง (ประมาณ 9.3% มีอายุเกิน 25 ปี ณ เดือนธันวาคม 2567) และการขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง (ขาดแคลนประมาณ 120,000 คน ณ เดือนมิถุนายน 2565) ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน รัฐบาลมาเลเซียกำลังตอบสนองต่อข้อจำกัดเหล่านี้อย่างแข็งขันผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในการใช้เครื่องจักรกล ระบบอัตโนมัติ และโครงการปลูกทดแทน ตัวอย่างเช่น อัตราการปลูกทดแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2% ซึ่งต่ำกว่าที่แนะนำที่ 4-5% ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการเร่งดำเนินการ   ประสบการณ์ของมาเลเซียในการจัดการกับความท้าทายเหล่านี้เป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับประเทศไทย การลงทุนในการใช้เครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการให้สิ่งจูงใจในการปลูกทดแทนที่ตรงจุด และการปรับปรุงนโยบายด้านแรงงาน จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศไทยในการรับประกันการเติบโตของการผลิตที่ยั่งยืนและหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักของอุปทานที่คล้ายคลึงกัน
  • ประเทศไทย พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทั้งหมดของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 6.3 ล้านไร่ในปี 2564 และขยายเป็น 6.34 ล้านไร่ในปี 2567 การผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในประเทศไทยแสดงให้เห็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5.64% ต่อปีตั้งแต่ปี 2555 ถึง 2564 โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.893 MMT เป็น 2.960 MMT   อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ผลผลิต CPO ลดลงเล็กน้อย 1.6% เหลือ 3.27 MMT จาก 3.33 MMT ในปี 2566 การลดลงนี้ส่วนใหญ่เกิดจากสภาวะเอลนีโญ ซึ่งนำมาซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อขนาดและคุณภาพของผลปาล์ม นอกจากนี้ การระบาดของโรคต้นปาล์มน้ำมัน (Basal Stem Rot) ยังส่งผลกระทบต่อต้นปาล์มบางส่วน ลดปริมาณน้ำมันในผลปาล์มลง 3.2% เหลือ 17.7% เกษตรกรรายย่อยบริหารจัดการพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 70% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดของประเทศไทย   การผลิตปาล์มน้ำมันของไทย แม้จะมีการเติบโตในอดีต แต่ก็ยังคงอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ และความท้าทายภายในประเทศ เช่น การระบาดของโรคพืช การที่เกษตรกรรายย่อยมีบทบาทสำคัญในภูมิทัศน์การผลิต หมายความว่ากลยุทธ์ระดับชาติใด ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มอุปทานจะต้องให้ความสำคัญกับเกษตรกรเป็นหลัก และแก้ไขปัญหาความเปราะบางเฉพาะของพวกเขา

ตารางที่ 2.1: การผลิตปาล์มน้ำมันทั่วโลกโดยประเทศหลัก (2558-2567 จริง, 2568 คาดการณ์)

ปีอินโดนีเซีย (ล้านตัน)มาเลเซีย (ล้านตัน)ไทย (ล้านตัน)อื่นๆ (ล้านตัน)รวมทั่วโลก (ล้านตัน)
255833.30 19.96 2.79 7.0263.07
255934.50 17.32 2.90 5.3460.06
256036.50 19.86 2.96 10.3269.64
256142.00 19.52 3.10 10.1974.82
256242.50 19.00 3.15 12.5077.15
256343.50 17.85 3.15 10.9875.48
256445.30 18.15 3.15 10.0276.62
256548.5018.45 3.33 9.1379.41
256645.50 18.55 3.33 14.3381.71
256745.50 19.34 3.27 11.1479.25
2568 (คาดการณ์)47.00 19.50 3.33 11.2281.05

หมายเหตุ: ข้อมูลบางส่วนอาจมีการปัดเศษหรือประมาณการจากแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกันเล็กน้อย

2.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปทานทั่วโลก

  • สภาพภูมิอากาศ (ผลกระทบจาก El Niño/La Niña) อุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลกมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงจร El Niño-Southern Oscillation (ENSO) ปรากฏการณ์ El Niño ซึ่งมีลักษณะเป็นภัยแล้งรุนแรงและสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ได้แสดงให้เห็นว่าสามารถลดผลผลิตปาล์มน้ำมันในภูมิภาคผู้ผลิตหลักอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือปรากฏการณ์ El Niño ในปี 2557-2559 ซึ่งทำให้ผลผลิตในมาเลเซียและอินโดนีเซียลดลงถึงสองหลัก   ในทางกลับกัน การเกิดปรากฏการณ์ La Niña มักจะนำมาซึ่งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยมากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไปและน้ำท่วมขังในวงกว้างก็สามารถขัดขวางกิจกรรมการเก็บเกี่ยวและสร้างความเสียหายต่อต้นปาล์มได้เช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิต   ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศโดยตรงส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานช็อก ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนของราคาและความไม่แน่นอนในตลาดโลก การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการนำแนวทางการเกษตรที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศมาใช้ เช่น ระบบการจัดการน้ำที่ดีขึ้น การใช้พันธุ์พืชที่ทนทานต่อภัยแล้ง/น้ำท่วม และการกระจายพื้นที่เพาะปลูก สำหรับประเทศไทย การคาดการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเสถียรภาพการผลิตและรายได้ของเกษตรกร
  • สวนปาล์มที่แก่ตัวและการปลูกทดแทน ต้นปาล์มน้ำมันมักจะเริ่มให้ผลผลิตลดลงเมื่ออายุครบ 20 ปี และโดยทั่วไปแนะนำให้ปลูกทดแทนเมื่ออายุ 25 ปี อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของการปลูกทดแทนคือช่วงเวลาที่เกษตรกรขาดรายได้เป็นระยะเวลานาน (โดยทั่วไป 3-5 ปี) ในขณะที่ต้นปาล์มใหม่เติบโตจนให้ผลผลิต   ในมาเลเซีย อัตราการปลูกทดแทนเฉลี่ย (2.2% ระหว่างปี 2557-2567) ต่ำกว่าอัตราที่แนะนำอย่างมีนัยสำคัญที่ 4-5% ณ เดือนธันวาคม 2567 ประมาณ 9.3% ของต้นปาล์มน้ำมันในมาเลเซียมีอายุเกิน 25 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้น   โครงการปลูกทดแทนของเกษตรกรรายย่อยในอินโดนีเซีย (PSR) มีเป้าหมายที่จะปลูกทดแทน 180,000 เฮกตาร์ต่อปี อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 มีการดำเนินการเพียง 38,244 เฮกตาร์ และในไตรมาสแรกของปี 2568 มีเพียง 11,777 เฮกตาร์เท่านั้น ทำให้มีการปรับลดเป้าหมายสำหรับปี 2568 ลงเหลือ 120,000 เฮกตาร์ ความท้าทายที่ขัดขวางการดำเนินงาน ได้แก่ ความไม่เต็มใจของเกษตรกรที่จะปลูกทดแทนเนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มยังคงสูง (ทำให้ต้นเก่าที่ให้ผลผลิตน้อยยังคงทำกำไรได้) ปัญหาทางกฎหมาย (การบุกรุกป่า) ความซับซ้อนด้านการบริหาร ปัญหาทางเทคนิค และปัญหาการเป็นหุ้นส่วน เพื่อจูงใจให้มีการปลูกทดแทน รัฐบาลอินโดนีเซียได้เพิ่มเงินอุดหนุนเป็นสองเท่าจาก 30 ล้านรูเปียห์เป็น 60 ล้านรูเปียห์ต่อเฮกตาร์ในปี 2567   ปัญหาการปลูกทดแทนที่ล่าช้าในประเทศผู้ผลิตหลักนี้ถือเป็นความเสี่ยงระยะยาวต่ออุปทานทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ การที่เกษตรกรลังเลที่จะปลูกทดแทน เนื่องจากต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้ และความซับซ้อนทางระบบราชการของโครงการอุดหนุน (แม้จะมีการเพิ่มเงินอุดหนุนอย่างมากในอินโดนีเซีย) กำลังสร้างปัญหาคอขวดเชิงโครงสร้างต่อการเติบโตของผลผลิตในอนาคต หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ จะนำไปสู่การลดลงของผลผลิตต่อไร่โดยรวมในระดับโลก และทำให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัวในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย การทำความเข้าใจ “ปัญหาการปลูกทดแทน” นี้เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่าอุปทานในประเทศจะมั่นคง และเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศผู้ผลิตหลักในการออกแบบโครงการปลูกทดแทนที่มีประสิทธิภาพและจูงใจเกษตรกรได้จริง  
  • การขาดแคลนแรงงาน อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในมาเลเซียพึ่งพาแรงงานต่างชาติอย่างมาก โดยก่อนการระบาดของโควิด-19 แรงงานกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 80% ของกำลังแรงงานทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดในการเดินทางช่วงโควิด-19 และความล่าช้าในการกลับมาของแรงงานต่างชาติ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาเลเซีย ซึ่งขาดแคลนแรงงานประมาณ 120,000 คน ณ เดือนมิถุนายน 2565 การขาดแคลนนี้ทำให้การผลิตลดลงและต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีการประเมินความเสียหายถึง 20,000 ล้านริงกิตในปี 2564   การขาดแคลนแรงงานเป็นปัญหาคอขวดเชิงโครงสร้างที่สำคัญต่ออุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาเลเซีย การพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมากในงานที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น เช่น การเก็บเกี่ยว ทำให้ภาคส่วนนี้อ่อนแอต่อการหยุดชะงักของแรงงาน การขาดแคลนแรงงานโดยตรงนำไปสู่การลดลงของผลผลิตและเพิ่มต้นทุนการผลิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลงทุนในเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและจัดการสวนปาล์มแบบอัตโนมัติ เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานคน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว สำหรับประเทศไทย การพิจารณาการใช้เครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติที่เหมาะสมกับขนาดของเกษตรกรรายย่อยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านแรงงานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  
  • การระบาดของโรค (เช่น เชื้อรา Ganoderma) เชื้อรา Ganoderma เป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อผลผลิตปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวนปาล์มที่มีอายุมากขึ้น การแพร่กระจายของเชื้อรานี้กำลังบั่นทอนผลผลิตอย่างต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์การผลิตปาล์มน้ำมันทั่วโลกย่ำแย่ลงไปอีก   การระบาดของโรคพืช เช่น เชื้อรา Ganoderma เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่ออุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลก เนื่องจากโรคเหล่านี้สามารถลดผลผลิตได้อย่างมากและแพร่กระจายได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในสวนปาล์มที่มีอายุมาก การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อหาวิธีการป้องกันและรักษาโรคเหล่านี้ รวมถึงการส่งเสริมการใช้กล้าพันธุ์ที่ทนทานต่อโรค และการจัดการสวนปาล์มอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทย การเฝ้าระวังและจัดการโรคพืชอย่างเข้มงวดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร  
  • นโยบายของรัฐบาล (เช่น ข้อจำกัดการส่งออก, ข้อบังคับเชื้อเพลิงชีวภาพ) นโยบายของรัฐบาลในประเทศผู้ผลิตหลักมีผลกระทบอย่างมากต่ออุปทานปาล์มน้ำมันโลก อินโดนีเซียได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น Domestic Market Obligation (DMO) ซึ่งกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขายน้ำมันปาล์มส่วนหนึ่งในประเทศเพื่อรักษาอุปทานภายในและควบคุมราคา นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังผลักดันโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างจริงจัง โดยเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มในไบโอดีเซลเป็น B35 ในปี 2566 และมีแผนจะเพิ่มเป็น B40 ในปี 2568 และอาจถึง B50 ในปี 2569 นโยบายเหล่านี้คาดว่าจะลดปริมาณการส่งออกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียลงอย่างมาก (เช่น ลดลงเหลือ 20 ล้านเมตริกตันในปี 2573 จาก 29.5 ล้านตันในปี 2567)   มาเลเซียก็มีนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพเช่นกัน โดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการผสมเป็น B20 และ B30 ในอนาคต แม้ว่ามาเลเซียจะไม่มี DMO ที่เข้มงวดเท่าอินโดนีเซีย แต่ระบบภาษีส่งออกแบบขั้นบันไดก็ทำหน้าที่เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาและควบคุมอุปทาน   นโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อบังคับด้านเชื้อเพลิงชีวภาพและข้อจำกัดการส่งออกในอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลก การที่ประเทศผู้ผลิตหลักเหล่านี้หันมาใช้ปาล์มน้ำมันเพื่อตอบสนองความต้องการเชื้อเพลิงภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น จะลดปริมาณปาล์มน้ำมันที่พร้อมสำหรับการส่งออกสู่ตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัวและราคาที่สูงขึ้น การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่านโยบายภายในประเทศของผู้ผลิตหลักสามารถเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว สำหรับประเทศไทย การติดตามและทำความเข้าใจนโยบายเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญในการคาดการณ์แนวโน้มอุปทานและราคาในอนาคต และปรับกลยุทธ์ของประเทศให้สอดคล้องกัน  

3. การวิเคราะห์อุปสงค์ปาล์มน้ำมันโลก

3.1 ปัจจัยขับเคลื่อนอุปสงค์หลัก

  • การบริโภคอาหาร (ครัวเรือน, อาหารแปรรูป) ปาล์มน้ำมันเป็นน้ำมันพืชที่บริโภคมากที่สุดในโลก และการใช้งานในภาคอาหารเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอุปสงค์ที่สำคัญที่สุด ประมาณ 68-72% ของการผลิตปาล์มน้ำมันทั้งหมดถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายชนิด เช่น น้ำมันปรุงอาหาร เนยเทียม ขนมอบ และอาหารแปรรูป การเติบโตของประชากรโลกและการขยายตัวของชนชั้นกลาง โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เน้นน้ำมันมากขึ้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้อุปสงค์ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คุณสมบัติที่หลากหลายของปาล์มน้ำมัน เช่น รสชาติที่เป็นกลาง จุดเกิดควันสูง และความคงตัวในการออกซิเดชัน ทำให้เป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม  
  • ข้อบังคับเชื้อเพลิงชีวภาพ (อินโดนีเซีย, มาเลเซีย) นโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพของอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุปสงค์ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อินโดนีเซียได้ดำเนินโครงการไบโอดีเซล B35 ซึ่งกำหนดให้มีน้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสม 35% ในน้ำมันดีเซล และมีแผนจะเพิ่มเป็น B40 ในปี 2568 และอาจถึง B50 ในปี 2569 มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มความต้องการน้ำมันปาล์มในประเทศเพื่อการผลิตเชื้อเพลิงอย่างมาก (เช่น อินโดนีเซียคาดว่าจะใช้ CPO ประมาณ 13.6 ล้านตันสำหรับ B40 ในปี 2568)   มาเลเซียก็มีข้อบังคับเชื้อเพลิงชีวภาพเช่นกัน โดยได้ดำเนินการ B10 และมีแผนที่จะเพิ่มเป็น B20 และ B30 ในอนาคต การผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงนำเข้าและจัดการปริมาณสต็อกปาล์มน้ำมันในประเทศ   การเพิ่มขึ้นของข้อบังคับเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศผู้ผลิตหลักได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุปสงค์ปาล์มน้ำมันทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ การที่น้ำมันปาล์มจำนวนมากถูกเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงภายในประเทศ ทำให้ปริมาณที่พร้อมสำหรับการส่งออกลดลง ซึ่งส่งผลให้ราคาสูงขึ้นและเกิดภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดโลก การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่านโยบายพลังงานภายในประเทศของผู้ผลิตหลักมีผลกระทบโดยตรงต่อพลวัตของอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก สำหรับประเทศไทย การประเมินผลกระทบของนโยบายไบโอดีเซลในประเทศผู้ผลิตหลักเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการผลิตและการบริโภคปาล์มน้ำมันในประเทศ  
  • โอลิโอเคมีคอลและการใช้งานทางอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกจากภาคอาหารและเชื้อเพลิงชีวภาพแล้ว ปาล์มน้ำมันยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมโอลิโอเคมีคอลและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่นๆ ผลิตภัณฑ์โอลิโอเคมีคอลที่ได้จากปาล์มน้ำมันมีหลากหลาย เช่น กรดไขมัน เอสเทอร์ กลีเซอรีน สบู่ แชมพู เครื่องสำอาง ยา และสารหล่อลื่น อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประมาณ 10-18% ของการผลิตปาล์มน้ำมันทั่วโลกถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด การใช้งานที่หลากหลายและคุณสมบัติทางเคมีของปาล์มน้ำมันทำให้เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในหลายอุตสาหกรรม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุปสงค์โดยรวมของปาล์มน้ำมันยังคงแข็งแกร่ง  

3.2 ประเทศผู้นำเข้าหลัก

  • อินเดีย อินเดียเป็นผู้นำเข้าปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยคิดเป็นประมาณ 21.1% ของการนำเข้าทั่วโลก ความต้องการปาล์มน้ำมันของอินเดียได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่สูง โดยเฉพาะในภาคอาหารและบริการ การที่ปาล์มน้ำมันมีราคาที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ทำให้เป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับผู้ผลิตอาหารในอินเดีย การนำเข้าของอินเดียมีความผันผวนตามนโยบายภาษีนำเข้าและสต็อกภายในประเทศ การฟื้นตัวของความต้องการจากอินเดียหลังช่วงสต็อกต่ำมักจะผลักดันราคาปาล์มน้ำมันให้สูงขึ้น  
  • จีน จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่อันดับสองของโลก โดยคิดเป็นประมาณ 13.1% ของการนำเข้าทั่วโลก ความต้องการของจีนได้รับอิทธิพลจากการเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 ซึ่งกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความต้องการสต็อกสินค้า อย่างไรก็ตาม อุปสงค์จากจีนอาจลดลงได้เนื่องจากการแข่งขันจากน้ำมันถั่วเหลืองที่มีราคาถูกกว่าและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จีนยังตั้งเป้าหมายการผลิตธัญพืชและน้ำมันพืชที่สูงขึ้นเพื่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลต่อการนำเข้าในอนาคต  
  • สหภาพยุโรป (EU) สหภาพยุโรปเป็นผู้นำเข้าปาล์มน้ำมันที่สำคัญ โดยมีความต้องการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ อย่างไรก็ตาม อุปสงค์จาก EU เผชิญกับข้อจำกัดจากกฎระเบียบด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น เช่น EU Deforestation Regulation (EUDR) ซึ่งอาจส่งผลต่อการนำเข้าปาล์มน้ำมันที่ไม่ได้รับการรับรอง แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ มาเลเซียกำลังพยายามเข้าถึงตลาด EU อีกครั้งผ่านโครงการรับรอง MSPO 2.0  
  • สหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าปาล์มน้ำมันรายใหญ่อันดับสี่ของโลก อย่างไรก็ตาม การนำเข้าปาล์มน้ำมันของสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้า เช่น ภาษี 24% ที่เรียกเก็บจากปาล์มน้ำมันมาเลเซีย แม้ว่าผลกระทบโดยตรงอาจไม่รุนแรงนัก เนื่องจากสหรัฐฯ มีสัดส่วนการนำเข้าจากมาเลเซียไม่ถึง 1% แต่ก็เป็นสัญญาณถึงความท้าทายทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น  

3.3 ผลกระทบจากการทดแทนด้วยน้ำมันพืชชนิดอื่น

ราคาน้ำมันปาล์มได้รับอิทธิพลอย่างมากจากราคาน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันเรพซีด หากราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น ผู้ซื้ออาจหันไปใช้น้ำมันทางเลือกอื่น ๆ ที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มลดลง การศึกษาหนึ่งพบว่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ข้ามราคาของการนำเข้าน้ำมันปาล์มต่อราคาน้ำมันถั่วเหลืองในสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.22 ซึ่งหมายความว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันถั่วเหลือง 1% จะนำไปสู่การนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นประมาณ 3%  

อย่างไรก็ตาม การทดแทนปาล์มน้ำมันด้วยน้ำมันพืชชนิดอื่นอาจนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ ๆ การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าการทดแทนปาล์มน้ำมันทั้งหมดอาจส่งผลให้ต้องใช้พื้นที่เพาะปลูกมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำไปสู่การทำลายป่าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันทางเลือกเหล่านี้มีปริมาณจำกัดและมีประสิทธิภาพในการผลิตต่อไร่ต่ำกว่าปาล์มน้ำมันมาก  

ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เป็นพลวัตที่ซับซ้อนและสำคัญต่อตลาดโลก การที่ผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนไปใช้น้ำมันทางเลือกได้เมื่อราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของอุปสงค์ แต่ก็เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของน้ำมันทางเลือกเหล่านี้ในการตอบสนองความต้องการทั่วโลกอย่างเต็มที่ การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยควรติดตามราคาน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความสามารถในการแข่งขันของปาล์มน้ำมันไทยในตลาดโลก  

ตารางที่ 3.1: การบริโภคปาล์มน้ำมันทั่วโลกตามประเภทการใช้งาน (2558-2567 จริง, 2568 คาดการณ์)

ปีอาหาร (ล้านตัน)เชื้อเพลิงชีวภาพ (ล้านตัน)อุตสาหกรรม/อื่นๆ (ล้านตัน)รวมทั่วโลก (ล้านตัน)
255842.906.3113.8663.07
255940.846.0113.2160.06
256047.356.9615.3369.64
256150.887.4816.4674.82
256252.377.7217.0677.15
256351.327.5516.6175.48
256452.097.6616.8676.62
256553.997.9417.4879.41
256655.598.1717.9581.71
256753.89 19.81 2.65 76.35
2568 (คาดการณ์)55.0020.502.8078.30

หมายเหตุ: สัดส่วนการบริโภคตามประเภทการใช้งานอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแหล่งข้อมูลและปีที่รายงาน สัดส่วนโดยประมาณ: อาหาร 68-72%, ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล/ทำความสะอาด 18%, เชื้อเพลิงชีวภาพ 10% อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดบางแหล่งระบุว่าการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของการบริโภคทั่วโลก  

4. การวิเคราะห์ราคาปาล์มน้ำมันโลก

4.1 แนวโน้มราคาและความผันผวน

  • การเคลื่อนไหวของราคาในอดีต (2558-2568) ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกมีความผันผวนอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านอุปทานและอุปสงค์ที่ซับซ้อน ราคา CPO ในตลาด Bursa Malaysia Derivatives (BMD) ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงระดับโลก มีการเคลื่อนไหวที่สำคัญหลายครั้ง  
  • จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สำคัญและสาเหตุ ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในตลาดโลกเคยพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปี 2565 โดยทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7,268 ริงกิตมาเลเซียต่อตันในเดือนมีนาคม 2565 หรือประมาณ 1,776.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากหลายปัจจัยรวมกัน:  
    • อุปทานโลกที่ลดลง: โดยเฉพาะจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย  
    • สต็อก CPO ที่ลดลง: สต็อก CPO ในประเทศผู้ผลิตหลักลดลงสู่ระดับต่ำกว่าที่เหมาะสม  
    • ความต้องการที่แข็งแกร่ง: อุปสงค์จากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างอินเดียและจีนยังคงแข็งแกร่ง  
    • ราคาน้ำมันพืชทางเลือกที่สูงขึ้น: ราคาน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อหันมาใช้น้ำมันปาล์มเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า  
    หลังจากนั้น ราคาได้ปรับลดลงสู่ระดับปกติในช่วงปลายปี 2565 และปี 2566 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,809.50 ริงกิตมาเลเซียต่อตันในปี 2566 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ลดลง และการยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2566   อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันปาล์มจะกลับมามีแนวโน้มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี 2568 โดยอาจเพิ่มขึ้น 10-15% และคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4,000-4,300 ริงกิตมาเลเซียต่อตันในปี 2568 ปัจจัยที่สนับสนุนแนวโน้มนี้ ได้แก่:  
    • นโยบายไบโอดีเซลของอินโดนีเซีย: การผลักดันโครงการ B40 และ B50 จะลดปริมาณน้ำมันปาล์มที่พร้อมสำหรับการส่งออกอย่างมาก  
    • อุปทานตึงตัว: การผลิตในอินโดนีเซียและมาเลเซียลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงาน สวนปาล์มที่แก่ตัว และการระบาดของเชื้อรา Ganoderma  
    • ความต้องการที่แข็งแกร่ง: ความต้องการจากตลาดโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน  
    • ราคาน้ำมันพืชทางเลือกที่สูงขึ้น: คาดว่าราคาน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวันจะสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ปาล์มน้ำมันยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ  
    ความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันเป็นผลมาจากความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างอุปทานที่จำกัดจากปัจจัยโครงสร้าง (เช่น การปลูกทดแทนที่ล่าช้า, การขาดแคลนแรงงาน) และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพที่เข้มข้นขึ้น การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดปาล์มน้ำมันกำลังเข้าสู่ยุคที่ราคาจะไม่ถูกอีกต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลกและสร้างความท้าทายในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สำหรับประเทศไทย การทำความเข้าใจแนวโน้มราคาโลกและปัจจัยที่ขับเคลื่อนความผันผวนเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดนโยบายที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถรับมือกับความเสี่ยงด้านราคาและได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม  

ตารางที่ 4.1: ราคา CPO เฉลี่ยรายปี (USD/MT และ MYR/MT) (2558-2567)

ปีราคา CPO (USD/MT)ราคา CPO (MYR/MT)
2558550.00 (ประมาณ) 2,100 (ประมาณ)
2559620.00 (ประมาณ) 2,500 (ประมาณ)
2560650.00 (ประมาณ) 2,700 (ประมาณ)
2561550.00 (ประมาณ) 2,300 (ประมาณ)
2562550.00 (ประมาณ) 2,300 (ประมาณ)
2563650.00 (ประมาณ) 2,700 (ประมาณ)
25641,050.00 (ประมาณ) 4,407
25651,200.00 (ประมาณ) 5,087.50
2566850.00 (ประมาณ) 3,809.50
2567950.00 (ประมาณ) 4,179.50

หมายเหตุ: ข้อมูล USD/MT มาจาก PPOILUSDM (Global price of Palm Oil) และ MYR/MT มาจาก MPOB และ Trading Economics ค่าประมาณการจากกราฟหรือช่วงราคาที่ระบุ หากไม่มีข้อมูลเฉลี่ยรายปีโดยตรง  

4.2 กลไกการกำหนดราคา

  • ตลาดซื้อขายล่วงหน้าระหว่างประเทศ (Bursa Malaysia Derivatives, Indonesia Commodity and Derivatives Exchange) ตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลก Bursa Malaysia Derivatives (BMD) เป็นตลาดหลักที่ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า CPO (FCPO) ซึ่งทำหน้าที่เป็นดัชนีราคาอ้างอิงระดับโลกมาตั้งแต่ปี 2523 FCPO ถูกใช้โดยผู้เล่นในอุตสาหกรรมน้ำมันและไขมันเพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา นอกจากนี้ Bursa Malaysia ยังเป็นตลาดแห่งแรกของโลกที่กำหนดให้การส่งมอบทางกายภาพของสัญญา FCPO ต้องได้รับการรับรอง Malaysian Sustainable Palm Oil (MSPO)   ในอินโดนีเซีย Indonesia Commodity and Derivatives Exchange (ICDX) ได้เปิดตัวสัญญาซื้อขายล่วงหน้า CPOTR ในปี 2553 เพื่อเป็นราคาอ้างอิงสำหรับผู้ส่งออก CPO ในอินโดนีเซีย ICDX ยังได้ขยายการซื้อขาย CPO แบบกายภาพผ่านกลไกการประมูล เพื่อให้เกิดการกำหนดราคาที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ   ตลาดซื้อขายล่วงหน้าระหว่างประเทศเหล่านี้เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลก เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถบริหารความเสี่ยงและเข้าถึงข้อมูลราคาที่เป็นปัจจุบัน การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่าราคาในตลาดโลกเป็นตัวกำหนดราคาภายในประเทศของผู้ผลิตและผู้บริโภคส่วนใหญ่ สำหรับประเทศไทย การติดตามราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจแนวโน้มราคาและปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้เหมาะสม  
  • นโยบายของรัฐบาล (ภาษีส่งออก, ค่าธรรมเนียม, DMOs, การควบคุมราคา) นโยบายของรัฐบาลในประเทศผู้ผลิตหลักมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดราคาปาล์มน้ำมัน:
    • อินโดนีเซีย: กำหนดภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมการส่งออก (Export Levy) สำหรับ CPO ซึ่งจะถูกปรับตามราคาตลาดโลก รายได้จากค่าธรรมเนียมส่งออกจะถูกนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับโครงการไบโอดีเซลและโครงการปลูกทดแทน อินโดนีเซียยังใช้ Domestic Market Obligation (DMO) และ Domestic Price Obligation (DPO) เพื่อรักษาอุปทานน้ำมันปรุงอาหารภายในประเทศและควบคุมราคาขายปลีก แม้จะมีมาตรการเหล่านี้ ราคาน้ำมันปรุงอาหารในประเทศบางครั้งยังคงสูงกว่าราคาควบคุม  
    • มาเลเซีย: ใช้ระบบภาษีส่งออกแบบขั้นบันไดสำหรับ CPO ซึ่งมีอัตราตั้งแต่ 0% ถึง 10% ขึ้นอยู่กับราคาอ้างอิง ระบบนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาและจูงใจการแปรรูปภายในประเทศ  
    นโยบายของรัฐบาลเหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการอุปทานและอุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดโลกและราคาโดยรวม การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่าการแทรกแซงของรัฐบาลสามารถสร้างความผันผวนของราคาและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกได้ สำหรับประเทศไทย การศึกษาและทำความเข้าใจนโยบายเหล่านี้ของผู้ผลิตหลักเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อคาดการณ์ผลกระทบต่อตลาดโลกและปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการในประเทศให้สอดคล้องกัน  
  • อิทธิพลของราคาน้ำมันพืชทดแทน (ถั่วเหลือง, ดอกทานตะวัน) ราคาน้ำมันปาล์มมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวัน การเปลี่ยนแปลงราคาของน้ำมันเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันปาล์มได้ เนื่องจากผู้ซื้ออาจเปลี่ยนไปใช้น้ำมันทางเลือกเมื่อราคาปาล์มน้ำมันสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันถั่วเหลืองในสหรัฐฯ 1% อาจนำไปสู่การนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นประมาณ 3%   ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชทดแทนเป็นพลวัตที่สำคัญในตลาดโลก การที่ผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนไปใช้น้ำมันทางเลือกได้เมื่อราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของอุปสงค์ แต่ก็เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของน้ำมันทางเลือกเหล่านี้ในการตอบสนองความต้องการทั่วโลกอย่างเต็มที่ การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยควรติดตามราคาน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความสามารถในการแข่งขันของปาล์มน้ำมันไทยในตลาดโลก  

4.3 การส่งผ่านราคาตลอดห่วงโซ่อุปทาน

  • ราคาหน้าสวน (FFB) ราคาผลปาล์มสด (FFB) ที่เกษตรกรได้รับมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับราคา CPO ในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม การส่งผ่านราคาจากตลาดโลกไปยังเกษตรกรอาจไม่สมบูรณ์และมีความล่าช้า โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่เกษตรกรรายย่อยมักได้รับราคาต่ำกว่าราคาที่กำหนดโดยรัฐบาล และความยืดหยุ่นของการส่งผ่านราคา (elasticity of price transmission) ที่ระดับเกษตรกรนั้นไม่ยืดหยุ่น (inelastic) ซึ่งหมายความว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา FFB ที่ระดับเกษตรกรมีน้อยกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา CPO โลก   ในมาเลเซีย MPOB ได้ออกแนวทางการคำนวณราคา FFB ตั้งแต่ปี 2539 โดยใช้ราคา CPO และ Palm Kernel (PK) เป็นข้อมูลอ้างอิง เพื่อให้เกษตรกรสามารถเปรียบเทียบราคาที่ได้รับกับราคาอ้างอิงและส่งเสริมการขาย FFB ที่มีคุณภาพสูง  
  • ราคาหน้าโรงงานสกัด (CPO) ราคา CPO หน้าโรงงานสกัดเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างราคา FFB และราคาผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ราคา CPO มักถูกกำหนดโดยอ้างอิงจากราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าระหว่างประเทศ เช่น Bursa Malaysia และ Rotterdam นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิต CPO และค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากสวนปาล์มไปยังโรงงานสกัดก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาซื้อ FFB ของโรงงาน  
  • ราคาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ราคาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (Refined Palm Oil) ได้รับอิทธิพลจากราคา CPO รวมถึงต้นทุนการกลั่นและปัจจัยด้านอุปสงค์จากภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและประเทศ ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดในท้องถิ่น นโยบายการค้า และความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน  
  • ราคาส่งออก ราคาส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์แปรรูปถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายประการ รวมถึงราคาในตลาดโลก นโยบายภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมของประเทศผู้ผลิต และความต้องการจากประเทศผู้นำเข้า ในมาเลเซีย ระบบภาษีส่งออกแบบขั้นบันไดทำหน้าที่เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาและจูงใจการแปรรูปภายในประเทศ   การส่งผ่านราคาตลอดห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและไม่สมบูรณ์เสมอไป การที่เกษตรกรรายย่อยมักได้รับราคาที่ต่ำกว่าและมีความผันผวนสูงกว่าราคาตลาดโลกนั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อรายได้และความยั่งยืนของพวกเขา การตระหนักถึงความเชื่อมโยงนี้ชี้ให้เห็นว่าการปรับปรุงกลไกการกำหนดราคาให้โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น จะช่วยให้เกษตรกรได้รับส่วนแบ่งรายได้ที่เหมาะสม และสร้างแรงจูงใจในการผลิตที่มีคุณภาพ  

5. ห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันของไทย: โครงสร้าง ความท้าทาย และโอกาส

5.1 โครงสร้างและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก

ห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันของประเทศไทยประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักหลายกลุ่ม:

  • เกษตรกรรายย่อย: เกษตรกรรายย่อยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในภาคปาล์มน้ำมันของไทย โดยบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกกว่า 70% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด เกษตรกรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีสวนปาล์มขนาดเล็ก (ไม่เกิน 50 ไร่) และมักเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูง โดยเฉพาะค่าปุ๋ยเคมีและค่าแรงงานเก็บเกี่ยว  
  • พ่อค้าคนกลาง (ลานเท): พ่อค้าคนกลางหรือลานเทปาล์มน้ำมันมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเกษตรกรรายย่อยกับโรงงานสกัด เนื่องจากปริมาณผลผลิตต่อรายของเกษตรกรต่ำ ทำให้ไม่คุ้มค่าในการขนส่งไปขายตรงกับโรงงาน ลานเทจึงมีอำนาจการต่อรองสูงกว่าเกษตรกร แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามควบคุมให้ลานเทติดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน  
  • โรงงานสกัด (Mills): โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย (85%) ประเทศไทยมีโรงงานสกัด 149 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตรวม 2.8 ล้านตัน CPO ต่อปี  
  • โรงกลั่น (Refineries): มีโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 19 แห่งในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิตประจำปี 2.5 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม กำลังการกลั่นภายในประเทศยังไม่เพียงพอที่จะดูดซับอุปทาน CPO ทั้งหมด ทำให้โรงสกัดต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ไบโอดีเซล  
  • ผู้ส่งออก: การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของไทยยังคงมีจำกัด เนื่องจากตลาดโลกอยู่ในช่วงซบเซาและเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาด อย่างไรก็ตาม การส่งออกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ไปยังตลาดจีนและเมียนมามีการเติบโตที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  

5.2 ความท้าทายหลักสำหรับเกษตรกรไทย

  • ผลผลิตต่อไร่และอัตราการสกัดน้ำมัน (OER) ต่ำ: ผลผลิต FFB ต่อไร่ของไทยอยู่ที่ 2.7 ตัน/ไร่ ซึ่งต่ำกว่ามาเลเซีย (3.3 ตัน) และอินโดนีเซีย (2.9 ตัน) นอกจากนี้ เกษตรกรไทยมักเก็บเกี่ยวผลปาล์มก่อนสุก ทำให้มีอัตราการสกัดน้ำมันเฉลี่ยเพียง 14-17% เทียบกับ 20% ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย แม้ว่า OER จะมีการปรับปรุงเล็กน้อย 0.69% ต่อปีในช่วงปี 2555-2564 แต่ก็ยังคงเป็นความท้าทาย  
  • ต้นทุนการผลิตสูง: เกษตรกรไทยมีต้นทุนปาล์มน้ำมันสูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยเฉพาะต้นทุนปุ๋ยเคมีและค่าแรงเก็บเกี่ยว  
  • การเข้าถึงปัจจัยการผลิตและเทคโนโลยีคุณภาพต่ำ: เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ขาดการเข้าถึงพันธุ์ปาล์มน้ำมันคุณภาพสูง การบำรุงรักษาที่เหมาะสม และแหล่งข้อมูลความรู้  
  • ความไม่มั่นคงของรายได้และความผันผวนของราคา: เกษตรกรรายย่อยมีความเปราะบางต่อความผันผวนของราคา FFB แม้ว่ารัฐบาลจะมีการปรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมัน (18%) เป็น 5.20 บาท/กก. เพื่อยกระดับรายได้ แต่ความผันผวนยังคงเป็นปัญหา  
  • ความไร้ประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน (พ่อค้าคนกลาง, โลจิสติกส์): เกษตรกรรายย่อยมักต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลางหรือลานเทในการขายผลผลิต เนื่องจากปริมาณผลผลิตต่อรายต่ำ ทำให้ไม่คุ้มค่าในการขนส่งไปขายตรงกับโรงงานสกัด การพึ่งพาพ่อค้าคนกลางนี้ทำให้เกษตรกรมีอำนาจการต่อรองน้อยและอาจถูกเอาเปรียบ  

5.3 นโยบายภาครัฐและผลกระทบ

  • การอุดหนุนราคาและโครงการประกันรายได้: รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรและควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันปาล์ม เช่น การปรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมัน (18%) เป็น 5.20 บาท/กก. และการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มไม่เกิน 50 บาท/ลิตร นอกจากนี้ยังมีโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมันสำหรับเกษตรกรรายย่อย (ไม่เกิน 25 ไร่/ครัวเรือน) โดยมีราคาประกันที่ 4 บาท/กก. สำหรับเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ 18%  
  • ข้อบังคับเชื้อเพลิงชีวภาพ (B5, B7, B10): รัฐบาลส่งเสริมการใช้ปาล์มน้ำมันในการผลิตไบโอดีเซลเพื่อเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก B7 เป็น B5 เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศด้านพลังงานทดแทนอาจส่งผลกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมัน รัฐบาลมีแผนจะยกเลิกการอุดหนุนราคาไบโอดีเซลภายในปี 2569  
  • โครงการปลูกทดแทนและเงินอุดหนุน: รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปลูกทดแทนปาล์มน้ำมันเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่และสนับสนุนแผนพลังงานทดแทน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายผลผลิต 3.5 ตันต่อไร่ต่อปี ยังไม่บรรลุผล และการปลูกทดแทนยังคงเป็นความท้าทายสำหรับเกษตรกรรายย่อย  
  • ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน: รัฐบาลกำลังผลักดันร่าง พ.ร.บ. นี้เพื่อปฏิรูปทั้งระบบและวางรากฐานระยะยาวให้ทุกฝ่ายเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรและสร้างกรอบตลาดที่ยั่งยืน  

6. ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย: การยกระดับรายได้เกษตรกรและการผลิตที่ยั่งยืน

จากพลวัตของตลาดปาล์มน้ำมันโลกและความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ประเทศไทยเผชิญ การบริหารจัดการภาคปาล์มน้ำมันของไทยจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างครอบคลุม เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีและยั่งยืน พร้อมทั้งสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะต่อไปนี้ครอบคลุมตั้งแต่การปรับปรุงประสิทธิภาพต้นน้ำไปจนถึงการเพิ่มมูลค่าปลายน้ำและการเสริมสร้างกรอบนโยบาย

6.1 การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพต้นน้ำ

  • เร่งโครงการปลูกทดแทนด้วยเงินอุดหนุนและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น ปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยคือสวนปาล์มที่มีอายุมากและให้ผลผลิตต่ำ รวมถึงอัตราการปลูกทดแทนที่ยังไม่เพียงพอ เกษตรกรรายย่อยมักลังเลที่จะปลูกทดแทนเนื่องจากต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ไม่มีรายได้นาน 3-5 ปีในขณะที่ต้นปาล์มใหม่เติบโต   ประเทศไทยควรเรียนรู้จากประสบการณ์ของอินโดนีเซียที่ได้เพิ่มเงินอุดหนุนการปลูกทดแทนเป็นสองเท่าสำหรับเกษตรกรรายย่อย รัฐบาลไทยควรพิจารณา:
    1. เพิ่มเงินอุดหนุนการปลูกทดแทน: พิจารณาเพิ่มเงินอุดหนุนต่อไร่ให้สูงขึ้นและเพียงพอต่อการจูงใจเกษตรกร เพื่อชดเชยการขาดรายได้ในช่วงพักตัวของต้นปาล์มใหม่
    2. พัฒนารูปแบบการสนับสนุนรายได้ทางเลือก: จัดหาแหล่งรายได้เสริมหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในช่วงที่ไม่มีผลผลิต เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของเกษตรกร  
    3. ลดความซับซ้อนของขั้นตอนการขอรับเงินอุดหนุน: ปัญหาด้านเอกสารและขั้นตอนการบริหารที่ซับซ้อนเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงโครงการของรัฐ ควรปรับปรุงกระบวนการให้ง่ายขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับเกษตรกรรายย่อย  
    4. ส่งเสริมการใช้กล้าพันธุ์คุณภาพสูง: สนับสนุนการเข้าถึงกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ได้รับการรับรองว่าให้ผลผลิตสูงและมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว  
  • ส่งเสริมแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) และพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง ผลผลิตต่อไร่และอัตราการสกัดน้ำมัน (OER) ของไทยยังต่ำกว่าประเทศผู้ผลิตหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความรู้ที่ไม่เพียงพอในการจัดการสวนปาล์ม
    1. ขยายการฝึกอบรมและให้ความรู้: จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับ GAP การบำรุงรักษาที่เหมาะสม การเก็บเกี่ยวผลปาล์มที่สุกเต็มที่ (เพื่อเพิ่ม OER) และการจัดการศัตรูพืชและโรค (เช่น เชื้อรา Ganoderma)  
    2. จัดตั้งศูนย์เรียนรู้และแปลงสาธิต: สร้างต้นแบบสวนปาล์มที่ใช้ GAP และพันธุ์ดี เพื่อให้เกษตรกรได้เห็นผลลัพธ์จริงและนำไปปรับใช้
    3. สนับสนุนการเข้าถึงปุ๋ยและปัจจัยการผลิตคุณภาพ: จัดหาปุ๋ยเคมีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม หรือส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดต้นทุนและรักษาสุขภาพดิน  
  • การนำเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติมาใช้ การขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานภาคการเกษตร เป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน การพึ่งพาแรงงานคนจำนวนมากในงานเก็บเกี่ยวทำให้ต้นทุนสูงและผลผลิตลดลงเมื่อขาดแคลนแรงงาน
    1. วิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลขนาดเล็กที่เหมาะสม: ลงทุนในการพัฒนาเครื่องจักรกลและอุปกรณ์เก็บเกี่ยวที่เหมาะสมกับขนาดสวนของเกษตรกรรายย่อยในไทย ซึ่งแตกต่างจากสวนขนาดใหญ่ในมาเลเซียและอินโดนีเซีย  
    2. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่: สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี เช่น โดรน เซ็นเซอร์ และ AI เพื่อการจัดการสวนปาล์มอย่างแม่นยำ (precision agriculture) ซึ่งสามารถช่วยในการตรวจสอบสุขภาพต้นปาล์ม การพยากรณ์ผลผลิต และการจัดการปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ  
    3. ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการลงทุนในเครื่องจักร: จัดหาแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับเกษตรกรที่ต้องการลงทุนในเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ

6.2 การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานเพื่อความเป็นธรรมในการกำหนดราคา

  • ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลางและการส่งเสริมการขายตรงสู่โรงงาน บทบาทของพ่อค้าคนกลาง (ลานเท) ในห่วงโซ่อุปทานของไทยทำให้เกษตรกรรายย่อยมีอำนาจการต่อรองต่ำและอาจได้รับราคาที่ไม่เป็นธรรม
    1. เสริมสร้างบทบาทของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร: สนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองในการขายผลผลิตโดยตรงให้กับโรงงานสกัด
    2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์: ปรับปรุงถนนและเส้นทางการขนส่งในพื้นที่เพาะปลูก เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและทำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงโรงงานสกัดได้โดยตรงมากขึ้น  
    3. ส่งเสริมสัญญาการซื้อขายที่เป็นธรรม: สนับสนุนให้โรงงานสกัดทำสัญญาซื้อขายโดยตรงกับเกษตรกรหรือสหกรณ์ โดยมีกลไกการกำหนดราคาที่โปร่งใสและเป็นธรรม อ้างอิงราคาตลาดโลกและคุณภาพของ FFB  
  • เสริมสร้างสหกรณ์เกษตรกรและการรวมกลุ่มต่อรอง การรวมกลุ่มช่วยให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองมากขึ้นและเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
    1. ให้การสนับสนุนด้านการบริหารจัดการสหกรณ์: ฝึกอบรมผู้นำสหกรณ์ด้านการบริหารจัดการ การตลาด และการเงิน เพื่อให้สหกรณ์สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    2. เชื่อมโยงสหกรณ์กับโรงงานสกัดโดยตรง: สร้างแพลตฟอร์มหรือกลไกที่อำนวยความสะดวกในการซื้อขายตรงระหว่างสหกรณ์และโรงงานสกัด
    3. ส่งเสริมการรับรองมาตรฐานสากล (RSPO/MSPO): สนับสนุนให้สหกรณ์เกษตรกรได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืน เช่น RSPO ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดพรีเมียมและได้รับราคาที่ดีขึ้น  
  • ปรับปรุงโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนการขนส่งที่สูงและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอเป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน
    1. ลงทุนในการปรับปรุงถนนและเส้นทางขนส่ง: โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เพื่อลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งผลผลิต
    2. ส่งเสริมการตั้งโรงงานสกัดขนาดเล็กในพื้นที่ใกล้เคียง: เพื่อลดระยะทางขนส่ง FFB และรักษาคุณภาพของผลผลิต  
    3. พัฒนาศูนย์รวบรวมผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ: จัดตั้งศูนย์รวบรวมผลผลิตที่ทันสมัย พร้อมอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความเสียหายและรักษาคุณภาพของ FFB ก่อนส่งไปยังโรงงาน

6.3 การกระจายความต้องการและเพิ่มมูลค่า

  • ขยายการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศ (เช่น B20/B30) แม้ว่ารัฐบาลจะควบคุมการใช้ไบโอดีเซลในประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา แต่การเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในระยะยาวสามารถช่วยดูดซับอุปทานส่วนเกินและสร้างอุปสงค์ที่มั่นคงให้กับปาล์มน้ำมันในประเทศได้
    1. กำหนดแผนการเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลที่ชัดเจน: พิจารณาแผนระยะยาวในการเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลเป็น B20 หรือ B30 โดยคำนึงถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและผลกระทบต่อราคา
    2. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูง: ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ใช้ปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF)  
  • ส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำ (โอลิโอเคมีคอล, ผลิตภัณฑ์อาหาร) การพึ่งพาการส่งออก CPO ที่จำกัด และกำลังการกลั่นที่ยังไม่สามารถดูดซับอุปทานทั้งหมดได้ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำ
    1. ให้สิ่งจูงใจสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมโอลิโอเคมีคอล: สนับสนุนการลงทุนในโรงงานผลิตโอลิโอเคมีคอลและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มอื่นๆ เช่น สบู่ เครื่องสำอาง ยา และอาหารสัตว์  
    2. ส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ ๆ ที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ
    3. พัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้: ส่งเสริมการนำเส้นใย กากเมล็ดในปาล์ม และน้ำเสียจากโรงงานสกัดไปใช้ประโยชน์ในการผลิตอาหารสัตว์ พลังงานชีวมวล หรือปุ๋ยอินทรีย์  
  • สำรวจตลาดส่งออกเฉพาะกลุ่มสำหรับปาล์มน้ำมันที่ได้รับการรับรองอย่างยั่งยืน แม้ว่าไทยจะมีอิทธิพลต่อราคาตลาดโลกเพียงเล็กน้อย แต่การมุ่งเน้นตลาดส่งออกเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้
    1. ส่งเสริมการรับรองมาตรฐานความยั่งยืน: สนับสนุนให้เกษตรกรและโรงงานสกัดได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น RSPO หรือ MSPO เพื่อเข้าถึงตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนสูง  
    2. ขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน: มุ่งเป้าไปที่ตลาดในยุโรปและประเทศอื่น ๆ ที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดและยินดีจ่ายราคาสูงขึ้นสำหรับปาล์มน้ำมันที่ยั่งยืน  
    3. สร้างความร่วมมือกับผู้ซื้อต่างประเทศ: สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับบริษัทและผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาที่ยั่งยืน

6.4 การเสริมสร้างกรอบนโยบายและการจัดการข้อมูล

  • การวางแผนเชิงกลยุทธ์ระยะยาวพร้อมเป้าหมายที่ชัดเจน นโยบายที่ผ่านมามักเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ซึ่งขาดวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุม
    1. พัฒนายุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันแห่งชาติระยะยาว: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การปลูกทดแทน การพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำ และการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกร โดยมีกรอบเวลาและตัวชี้วัดที่ชัดเจน
    2. สร้างกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงาน: ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงพลังงาน, กระทรวงอุตสาหกรรม) ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายมีความสอดคล้องและส่งเสริมกัน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบสต็อกในประเทศและสภาพตลาด การจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาและป้องกันภาวะอุปทานส่วนเกินหรือขาดแคลน
    1. พัฒนาระบบข้อมูลสต็อกแบบเรียลไทม์: สร้างระบบที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลสต็อกน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์แปรรูปทั่วประเทศได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
    2. ตรวจสอบการลักลอบนำเข้า: เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและป้องกันการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาในประเทศ  
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศและข่าวกรองตลาด การที่ไทยมีอิทธิพลต่อตลาดโลกเพียงเล็กน้อย ทำให้การติดตามและทำความเข้าใจพลวัตของตลาดโลกเป็นสิ่งจำเป็น
    1. ติดตามนโยบายผู้ผลิตหลักอย่างใกล้ชิด: เฝ้าระวังนโยบายด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ ภาษีส่งออก และข้อจำกัดการส่งออกของอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานและราคาโลก  
    2. วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมันพืชทดแทน: ติดตามราคาน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันพืชอื่นๆ เพื่อประเมินความสามารถในการแข่งขันของปาล์มน้ำมันไทย  
    3. เสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ: เข้าร่วมและมีบทบาทในองค์กรและเวทีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน

บทสรุป

อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีและยั่งยืน การพึ่งพากลไกตลาดโลกที่ผันผวนและข้อจำกัดภายในประเทศ เช่น ผลผลิตต่ำและห่วงโซ่อุปทานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางรายได้

การปฏิรูปที่เสนอแนะในรายงานนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทย โดยเริ่มจากการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตต้นน้ำผ่านการปลูกทดแทนด้วยพันธุ์ดี การนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลที่เหมาะสมมาใช้ และการส่งเสริมแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี การปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานให้โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น จะช่วยลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลางและเพิ่มอำนาจการต่อรองของเกษตรกร

นอกจากนี้ การกระจายความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันภายในประเทศ โดยเฉพาะการขยายบทบาทในภาคเชื้อเพลิงชีวภาพและอุตสาหกรรมปลายน้ำ จะช่วยสร้างอุปสงค์ที่มั่นคงและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต การเสริมสร้างกรอบนโยบายที่ชัดเจน มีเป้าหมายระยะยาว และยืดหยุ่นต่อพลวัตของตลาดโลก จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยไปสู่ความยั่งยืนและสร้างความมั่งคั่งให้กับเกษตรกรในระยะยาว การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้อย่างยั่งยืน และรักษาความมั่นคงทางอาหารและพลังงานของประเทศในอนาคต.แหล่งข้อมูลที่ใช้ในรายงานฉบับนี้studyiq.comPalm Oil Production, Cultivation and Challengesเปิดในหน้าต่างใหม่diplomatacomercial.compalm oil pricing: Understanding the Market Dynamics and Grades – diplomata comercialเปิดในหน้าต่างใหม่ig.comFactors affecting crude palm oil (CPO) prices | IG Internationalเปิดในหน้าต่างใหม่admis.comGlobal Ag News For June 2.2025 – ADM Investor Servicesเปิดในหน้าต่างใหม่issuu.comOFI March.April 2025 by Quartz Business Media – Issuuเปิดในหน้าต่างใหม่palmoilmagazine.comUSDA Projects Indonesia’s Palm Oil Production … – Palm Oil Magazineเปิดในหน้าต่างใหม่palmoilmagazine.comMPOB Predicts Tight Global Supply to Keep … – Palm Oil Magazineเปิดในหน้าต่างใหม่apps.fas.usda.govReport Name: Oilseeds and Products Annual – USDA Foreign …เปิดในหน้าต่างใหม่apps.fas.usda.govReport Name: Oilseeds and Products Updateเปิดในหน้าต่างใหม่krungsri.comIndustry Outlook Palm Oil Industry 2025-2027เปิดในหน้าต่างใหม่globenewswire.comPalm Oil Industry Report 2024: An $84.98 Billion Market byเปิดในหน้าต่างใหม่researchgate.net(PDF) Global Market Report: Palm Oil – ResearchGateเปิดในหน้าต่างใหม่rspo.org[Summary Report] Oil Palm Development in Thailand_ Trends and …เปิดในหน้าต่างใหม่gapki.idNews Roundup: Palm Firms Regularly Replant, But Smallholders …เปิดในหน้าต่างใหม่imarcgroup.comRBD Palm Oil Prices, Chart, News, Graph and Forecastเปิดในหน้าต่างใหม่rspo.orgFINAL REPORT Oil Palm Development in Thailand: Trends and …เปิดในหน้าต่างใหม่environmentalmigration.iom.intCLIMATE CHANGE, LABOUR MIGRATION AND PALM OIL …เปิดในหน้าต่างใหม่hrmars.comIssues of Human Resource in Malaysian Palm Oil Industryเปิดในหน้าต่างใหม่cirad.frThe renewal of palm plantations: a huge challenge for Indonesian …เปิดในหน้าต่างใหม่fred.stlouisfed.orgGlobal price of Palm Oil (PPOILUSDM) | FRED | St. Louis Fedเปิดในหน้าต่างใหม่market.usPalm Oil Market Size, Share | CAGR of 4.3%เปิดในหน้าต่างใหม่imarcgroup.comPalm Oil Market Size, Trends, Growth Analysis, Report, 2033 – IMARC Groupเปิดในหน้าต่างใหม่ourworldindata.orgPalm Oil – Our World in Dataเปิดในหน้าต่างใหม่apps.fas.usda.govReport Name: Oilseeds and Products Annual – USDA Foreign Agricultural Serviceเปิดในหน้าต่างใหม่mpoc.org.myMalaysia’s 2024 average crude palm oil price surged by 9.7% year-on-year – MPOCเปิดในหน้าต่างใหม่grandviewresearch.comPalm Oil Market Size, Share & Growth | Industry Report, 2030 – Grand View Researchเปิดในหน้าต่างใหม่tradingeconomics.comPalm Oil – Price – Chart – Historical Data – News – Trading Economicsเปิดในหน้าต่างใหม่tradeimex.inMalaysia vs Indonesia: Palm Oil Export Showdown 2024–25 – TradeImeX Blogเปิดในหน้าต่างใหม่cpopc.netWorld CPO Production | Council of Palm Oil Producing Countries Dataเปิดในหน้าต่างใหม่taniali.orgPalm oil smallholders need government help not hindrance – Tania Liเปิดในหน้าต่างใหม่bepi.mpob.gov.myoverview of the malaysian oil palm industry in 2024 – forewordเปิดในหน้าต่างใหม่ycharts.comMalaysia Palm Oil Price Monthly Insights: Commodity Markets Review | YChartsเปิดในหน้าต่างใหม่fern.orgPALM OIL PRODUCTION, CONSUMPTION AND TRADE PATTERNS: – Fern.orgเปิดในหน้าต่างใหม่thainews.prd.go.thNBT WORLD – Thailand Moves to Protect Palm Oil Farmers Amid Policy Changesเปิดในหน้าต่างใหม่fas.usda.govProduction – Palm Oil – USDA Foreign Agricultural Serviceเปิดในหน้าต่างใหม่ekon.go.idThe Government Accelerates the Implementation of the People’s Palm Oil Replanting Program by Implementing Good Agriculture Practice through Multi-stakeholder Strategic Cooperation – Kementerian Koordinator Bidang Perekonomian Republik Indonesiaเปิดในหน้าต่างใหม่ukragroconsult.comIndonesia to raise crude palm oil export levy to fund biodiesel, replanting initiatives

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *