Advertisement

Oil Plam Strategy in 3 Main Countries

การศึกษาเปรียบเทียบกลไกการกำหนดราคาและการกระจายผลประโยชน์ในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมัน: กรณีศึกษาอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย

หมายเหตุ : งานวิจัยนี้เป็นการทำงานร่วมกับ AI ผลการวิเคราะห์อาจจะมีผลจากการโอนเอียงตามกระแสข่าวการเมืองและเศรษฐกิจในบางแห่ง และได้ทำการศึกษาในบางช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมในบางประเทศ ผู้ใชช้รายงานนี้ต้องพิจารณาการนำไปใ้อย่างรอบคอบ

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

รายงานฉบับนี้ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบกลไกการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันและสัดส่วนผลประโยชน์รายได้ที่กระจายในตลอดห่วงโซ่อุปทานของสามประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย โดยมุ่งเน้นที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ ได้แก่ เกษตรกร คนรับซื้อคนกลาง (ลานเท) ผู้ผลิตแปรรูปสกัดน้ำมัน (โรงงานสกัด) และผู้ส่งออก การวิเคราะห์นี้เผยให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในโครงสร้างตลาด นโยบายภาครัฐ และบทบาทของผู้เล่นแต่ละราย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการกำหนดราคาและการกระจายรายได้ตลอดห่วงโซ่

ข้อค้นพบสำคัญ:

  • อินโดนีเซีย: ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก มีกลไกการกำหนดราคาที่ซับซ้อน โดยภาครัฐเข้ามามีบทบาทอย่างมากผ่านนโยบาย Domestic Market Obligation (DMO) และ Domestic Price Obligation (DPO) รวมถึงภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศและส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยอิสระยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงราคาที่เป็นธรรมและทรัพยากรที่จำเป็น
  • มาเลเซีย: ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสอง มีแนวทางที่เน้นตลาดมากขึ้น โดยใช้ตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Bursa Malaysia Derivatives – BMD) เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดราคาอ้างอิงและบริหารความเสี่ยง นโยบายภาษีส่งออกแบบขั้นบันไดและมาตรการไบโอดีเซลมีส่วนช่วยในการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเผชิญกับความท้าทายด้านแรงงานและการปลูกทดแทน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานในระยะยาว
  • ประเทศไทย: ผู้ผลิตอันดับสาม มุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก กลไกราคาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการแทรกแซงของภาครัฐผ่านโครงการประกันราคาและมาตรการควบคุมราคาขายปลีก คนกลาง (ลานเท) มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมักมีอำนาจต่อรองที่จำกัด และคุณภาพผลผลิตโดยรวมยังคงเป็นความท้าทายที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสกัดและรายได้ของเกษตรกร

นัยเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย:

เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในระยะยาวได้ ควรพิจารณาข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ดังนี้:

  1. การยกระดับรายได้เกษตรกรและลดความเหลื่อมล้ำ: ส่งเสริมการใช้พันธุ์ปาล์มน้ำมันคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่และเปอร์เซ็นต์น้ำมัน รวมถึงพัฒนาองค์ความรู้และทักษะการจัดการสวนปาล์มให้แก่เกษตรกรรายย่อย นอกจากนี้ ควรสร้างกลไกตลาดที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาคนกลาง และพิจารณากลไกประกันราคาหรืออุดหนุนที่เหมาะสมกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริง
  2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดและลดต้นทุนการผลิต รวมถึงส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมปลายน้ำเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมัน และปรับนโยบายไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดโลกและต้นทุนพลังงาน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการใช้ภายในประเทศและการส่งออก
  3. การสร้างความยั่งยืนในระยะยาว: ส่งเสริมการรับรองมาตรฐานความยั่งยืน (เช่น MSPO หรือ RSPO) เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดโลกที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงบริหารจัดการสต็อกและอุปทานให้เหมาะสมกับความต้องการภายในประเทศและแนวโน้มตลาดโลก และติดตามและปรับตัวต่อนโยบายของประเทศคู่แข่งและปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาและอุปทาน

1. บทนำ

ปาล์มน้ำมัน (Oil Palm) ถือเป็นพืชน้ำมันที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียนอย่างยิ่ง ด้วยศักยภาพในการผลิตน้ำมันสูงสุดต่อไร่เมื่อเทียบกับพืชน้ำมันชนิดอื่น ๆ เช่น มะพร้าว มะกอก ฝ้าย ถั่วลิสง ถั่วเหลือง และดอกทานตะวัน โดยมีอัตราการผลิตน้ำมันต่อไร่สูงถึง 6-10 เท่า. แม้ว่าพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทั่วโลกจะคิดเป็นเพียง 5% ของพื้นที่เพาะปลูกพืชน้ำมันทั้งหมด แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มกลับมีสัดส่วนสูงถึง 36% ของปริมาณการผลิตน้ำมันจากพืชทุกชนิด.  

ภูมิภาคอาเซียนเป็นศูนย์กลางการผลิตปาล์มน้ำมันของโลก โดยมีประเทศผู้ผลิตสำคัญคือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งมีผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil – CPO) รวมกันประมาณ 85% ของผลผลิตรวมของโลก และมีสัดส่วนการส่งออกรวมกันมากกว่า 90% ของปริมาณการส่งออกในตลาดโลก. ด้วยอิทธิพลที่โดดเด่นนี้ ทำให้ทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก.  

สำหรับประเทศไทย แม้จะเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 1.2% ของผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบโลก และคิดเป็น 4% ของการผลิตทั่วโลก แต่การผลิตส่วนใหญ่ของไทยมุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก. ด้วยเหตุนี้ กลไกการกำหนดราคาและการกระจายผลประโยชน์ในห่วงโซ่อุปทานของไทยจึงมีความแตกต่างจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่  

การศึกษาเปรียบเทียบฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกกลไกการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันตั้งแต่ระดับเกษตรกร (ทะลายปาล์มสด หรือ Fresh Fruit Bunches – FFB) ไปจนถึงผู้รับซื้อคนกลาง (ลานเท) ผู้ผลิตแปรรูปสกัดน้ำมัน (โรงงานสกัด CPO) และผู้ส่งออก นอกจากนี้ ยังมุ่งประเมินสัดส่วนผลประโยชน์รายได้ที่กระจายในห่วงโซ่อุปทานสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในแต่ละประเทศ เพื่อระบุปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อราคาและการกระจายรายได้ รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในระยะยาว

2. ภาพรวมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน

อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในสามประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย มีโครงสร้างและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อกลไกการกำหนดราคาและการกระจายผลประโยชน์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

2.1 อินโดนีเซีย: ผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก

อินโดนีเซียเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันระดับโลก โดยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) รายใหญ่ที่สุดของโลก มีสัดส่วนการผลิตประมาณ 57% ของอุปทานโลก และคิดเป็น 55.5% ของการส่งออกทั่วโลก. ในปี 2565 อินโดนีเซียมีเนื้อที่ให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันกว่า 93.46 ล้านไร่ และคาดการณ์ผลผลิต CPO ที่ 48 ล้านตันในปี 2567 ซึ่งแม้จะลดลง 4% จากปีก่อน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านตันในปี 2568.  

โครงสร้างการเป็นเจ้าของสวนปาล์มในอินโดนีเซียแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก:

  • บริษัทเอกชน (Private companies): คิดเป็น 48.5% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด และให้ผลผลิต CPO สูงถึง 53.5-56% ของผลผลิต CPO ทั้งหมด. บริษัทเหล่านี้มักมีการบริหารจัดการสวนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การพัฒนาต้นกล้า การจัดการปุ๋ยและศัตรูพืช ไปจนถึงการลำเลียง FFB ไปยังโรงงานสกัด.  
  • เกษตรกรรายย่อย (Smallholder): มีสัดส่วน 45% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด แต่ให้ผลผลิตน้ำมันคิดเป็น 38% ของผลผลิตรวม. เกษตรกรรายย่อยถูกนิยามว่ามีพื้นที่น้อยกว่า 25 เฮกตาร์. กลุ่มนี้แบ่งย่อยได้อีกเป็นสองประเภท:
    • รายย่อยที่ขึ้นกับภาคเอกชน (Dependent smallholders): สวนปาล์มเป็นของรายย่อย แต่ต้องขาย FFB ให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้อง และมักได้รับการสนับสนุนด้านต่างๆ จากบริษัท. ระบบนี้ออกแบบให้รายย่อยขาย FFB ในราคาล่วงหน้าซึ่งไม่ใช่ราคาตลาด.  
    • รายย่อยอิสระ (Independent smallholders): เป็นเจ้าของสวนที่ไม่ขึ้นตรงกับภาคเอกชนใดๆ การขาย FFB ส่งตรงเข้าระบบตลาดและเผชิญความผันผวนทางด้านราคาโดยตรง. กลุ่มนี้มักขาดการเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญ เช่น ปุ๋ย ต้นกล้าที่มีคุณภาพ และแหล่งข้อมูลความรู้ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพผลผลิตและประสิทธิภาพโดยรวม.  
  • รัฐวิสาหกิจ (State-Owned Enterprises): คิดเป็น 6.5% ของพื้นที่ปลูกทั้งหมด.  

ห่วงโซ่อุปทานของอินโดนีเซียครอบคลุมตั้งแต่การปลูก (Plantation) การสกัด (Mills) ซึ่งมีโรงสกัดถึง 1,093 แห่ง การกลั่น (Refineries) ที่มีโรงกลั่น 85 แห่ง ไปจนถึงการส่งออก (Exports) ที่มีผู้ส่งออก 352 ราย. ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น Wilmar International, Sinar Mas Agro Resources and Technology (SMART), Musim Mas Group, IOI Group และ Adani Wilmar.  

การที่อินโดนีเซียมีสัดส่วนเกษตรกรรายย่อยสูง แต่ผลผลิตต่อพื้นที่ต่ำกว่าภาคเอกชนนั้นบ่งชี้ถึงความท้าทายเชิงโครงสร้าง เกษตรกรรายย่อยอิสระซึ่งเป็นกลุ่มที่เผชิญกับความผันผวนด้านราคาโดยตรงและขาดการเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญ เช่น ปุ๋ยคุณภาพดี ต้นกล้าที่ให้ผลผลิตสูง และข้อมูลตลาดที่แม่นยำ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตของพวกเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด. ความแตกต่างในการเข้าถึงการสนับสนุนและช่องทางการตลาดระหว่างเกษตรกรรายย่อยที่พึ่งพาบริษัทกับเกษตรกรรายย่อยอิสระนี้ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านประสิทธิภาพการผลิตและเสถียรภาพรายได้ในกลุ่มเกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญ เกษตรกรรายย่อยอิสระจึงมีความเปราะบางต่อความผันผวนของราคาและต้นทุนมากกว่า เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ. ดังนั้น นโยบายที่มุ่งสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในอินโดนีเซียจึงจำเป็นต้องแยกแยะความต้องการของกลุ่ม “อิสระ” ออกจากกลุ่ม “ขึ้นกับภาคเอกชน” เพื่อให้ความช่วยเหลือตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการยกระดับคุณภาพชีวิตและผลผลิต ซึ่งจะนำไปสู่การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน  

2.2 มาเลเซีย: ผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายสำคัญ

มาเลเซียเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออก CPO รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยมีสัดส่วนการผลิตประมาณ 26% ของอุปทานโลก และคิดเป็น 29% ของการส่งออกทั่วโลก. ในปี 2565 มาเลเซียมีพื้นที่ให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันกว่า 32.10 ล้านไร่ และคาดการณ์ผลผลิต CPO ที่ 19.34 ล้านตันในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2566.  

โครงสร้างการเป็นเจ้าของสวนปาล์มในมาเลเซียคล้ายคลึงกับอินโดนีเซีย โดยมีสวนเอกชน (Private estates) เป็นสัดส่วนใหญ่ที่ 61.1% ของพื้นที่ปลูก ตามมาด้วยเกษตรกรรายย่อยอิสระ (Independent smallholders) ที่ 16.7% และหน่วยงานรัฐ เช่น Federal Land Development Authority (FELDA) ที่ 12.3%. เกษตรกรรายย่อยคิดเป็น 40% ของผลผลิตทั้งหมด และ 99.7% ของเกษตรกรรายย่อยมีรายได้สูงกว่าเส้นแบ่งความยากจนของประเทศ. อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยอิสระมักขาดการเข้าถึงตลาดหรือโรงงานโดยตรงและต้องพึ่งพาคนกลาง.  

ห่วงโซ่อุปทานของมาเลเซียมีโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันประมาณ 457 แห่ง และมีกำลังการผลิต FFB 116.81 ล้านตันต่อปี. ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรม ได้แก่ Sime Darby Plantation Berhad, Kuala Lumpur Kepong Berhad (KLK), IOI Corporation Berhad และ Felda Global Ventures Holdings Berhad (FGV).  

อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของมาเลเซียกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานในระยะยาว ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับงานเก็บเกี่ยว FFB ที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากและต่อเนื่องตลอดทั้งปี ได้ส่งผลให้การผลิตลดลง. นอกจากนี้ สวนปาล์มในมาเลเซียมีอายุมากขึ้น โดยประมาณ 9.3% หรือ 520,067 เฮกตาร์ของต้นปาล์มมีอายุเกิน 25 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตเริ่มลดลงและเก็บเกี่ยวได้ยากขึ้น. แม้ว่าผลผลิต FFB เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าอัตราการปลูกทดแทนยังคงต่ำกว่าที่แนะนำอย่างมาก โดยเฉลี่ยเพียง 2.2% ระหว่างปี 2557-2567 เทียบกับเป้าหมาย 4%-5%. สาเหตุหลักที่เกษตรกรลังเลที่จะปลูกทดแทนคือ ต้นปาล์มใหม่ต้องใช้เวลา 3-4 ปีกว่าจะเริ่มให้ผลผลิต ทำให้เกษตรกรต้องขาดรายได้ในช่วงนี้.  

ปัญหาแรงงานที่เรื้อรังและการปลูกทดแทนที่ล่าช้า ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ผลผลิตในปัจจุบัน แต่ยังเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างที่บั่นทอนศักยภาพการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของมาเลเซียในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ การไม่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านแรงงานและการปลูกทดแทนที่เพียงพอ จะทำให้มาเลเซียเผชิญกับภาวะอุปทานตึงตัวอย่างต่อเนื่อง. แม้ว่าภาวะอุปทานตึงตัวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นในระยะสั้น แต่หากมาเลเซียไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะยาว ก็อาจทำให้เสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีกว่า การลงทุนในเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและโซลูชันแรงงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาความยั่งยืนของอุตสาหกรรม.  

2.3 ประเทศไทย: ผู้ผลิตอันดับสามและบทบาทในตลาดโลก

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิต CPO อันดับ 3 ของโลก โดยมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2 ล้านตันต่อปี หรือ 1.2% ของผลผลิตโลก และคิดเป็น 4% ของการผลิตทั่วโลก. ในปี 2565 ไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันรวม 6.14 ล้านไร่ และคาดการณ์ผลผลิต FFB ที่ 18.98 ล้านตันในปี 2566. อย่างไรก็ตาม ผลผลิต FFB เฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 2.7 ตัน/ไร่ ซึ่งต่ำกว่ามาเลเซีย (3.3 ตัน/ไร่) และอินโดนีเซีย (2.9 ตัน/ไร่). การผลิตส่วนใหญ่ของไทยมุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศ โดย 75% ของผลผลิตถูกจัดสรรสำหรับการบริโภคในประเทศ.  

โครงสร้างเกษตรกรไทยส่วนใหญ่เป็นรายย่อย (79%) มีพื้นที่เพาะปลูกเฉลี่ย 20-25 ไร่ต่อราย ซึ่งเล็กกว่าสวนปาล์มในอินโดนีเซียและมาเลเซียมาก. ห่วงโซ่อุปทานของไทยมีโรงงานสกัด 149 แห่ง และโรงกลั่น 19 แห่ง. จุดเด่นของห่วงโซ่อุปทานไทยคือบทบาทสำคัญของคนกลางหรือลานเท ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับโรงงานสกัด. มีลานเทประมาณ 2,200 แห่งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการรวบรวมผลผลิต.  

เกษตรกรไทยส่วนใหญ่เป็นรายย่อยที่มีพื้นที่ปลูกขนาดเล็ก ทำให้ปริมาณผลผลิตต่อรายต่ำ. ด้วยปริมาณผลผลิตที่จำกัดนี้ การขนส่งไปขายตรงกับโรงสกัดจึงไม่คุ้มค่า ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลางหรือลานเทที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง. ลานเทเหล่านี้มีอำนาจต่อรองสูงกว่าเกษตรกรปาล์มน้ำมันซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ทำให้เกษตรกรอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบในการกำหนดราคา. นอกจากนี้ พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ปลูกในไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำ ให้อัตราการให้น้ำมันเพียง 14-17% เทียบกับปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียและมาเลเซียที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงกว่า 20%. การเก็บเกี่ยวผลปาล์มก่อนสุกก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลให้อัตราการให้น้ำมันต่ำลง.  

โครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในเกษตรกรรายย่อยที่มีประสิทธิภาพต่ำ ทั้งจากพันธุ์ปาล์ม การจัดการสวน และการเก็บเกี่ยว รวมถึงการพึ่งพาคนกลางที่มีอำนาจต่อรองสูง ทำให้เกษตรกรรายย่อยของไทยอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบในการกำหนดราคาและได้รับผลประโยชน์ไม่เต็มที่จากราคาตลาด. นี่คือรากฐานของปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันของไทย การยกระดับรายได้เกษตรกรไทยจึงต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นองค์รวม ตั้งแต่การส่งเสริมพันธุ์ดี การให้ความรู้และฝึกอบรมการจัดการสวน การปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ไปจนถึงการสร้างช่องทางการตลาดที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาคนกลางและเพิ่มอำนาจต่อรองของเกษตรกร.  

ตารางเปรียบเทียบ: ภาพรวมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน

ตารางนี้สรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างและลักษณะของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในสามประเทศหลัก เพื่อให้เห็นภาพรวมเชิงเปรียบเทียบที่ชัดเจน:

คุณลักษณะอินโดนีเซียมาเลเซียไทย
พื้นที่เพาะปลูก (ล้านไร่/เฮกตาร์)93.46 ล้านไร่ (ปี 2565) / 16.381 ล้านเฮกตาร์ (ปี 2562) 32.10 ล้านไร่ (ปี 2565) / 5.67 ล้านเฮกตาร์ (ปี 2565) 6.14 ล้านไร่ (ปี 2565) / 6.31 ล้านไร่ (ปี 2563)
ปริมาณผลผลิต CPO (ล้านตัน)คาดการณ์ 48 ล้านตัน (ปี 2567), 50 ล้านตัน (ปี 2568) 19.34 ล้านตัน (ปี 2567) เฉลี่ย 2 ล้านตัน/ปี / 3.15 ล้านตัน (ปี 2566)
สัดส่วนผู้ผลิตรายย่อย/รายใหญ่ (%)บริษัทเอกชน 48.5%, รายย่อย 45%, รัฐวิสาหกิจ 6.5% สวนเอกชน 61.1%, รายย่อยอิสระ 16.7%, FELDA 12.3% รายย่อย 79%
เปอร์เซ็นต์น้ำมัน (OER) เฉลี่ย (%)สูงกว่า 20% 19.67% (ปี 2567) 14-17% / 17-18%
จำนวนโรงงานสกัด/โรงกลั่นโรงสกัด 1,093 แห่ง, โรงกลั่น 85 แห่ง โรงสกัด 457 แห่ง โรงสกัด 149 แห่ง, โรงกลั่น 19 แห่ง
บทบาทในตลาดโลกผู้ผลิต/ผู้ส่งออกอันดับ 1 (57% ผลิต, 55.5% ส่งออก) ผู้ผลิต/ผู้ส่งออกอันดับ 2 (26% ผลิต, 29% ส่งออก) ผู้ผลิตอันดับ 3 (1.2% ผลิต) / 4% ผลิต

3. กลไกการกำหนดราคาและการกระจายรายได้ในห่วงโซ่อุปทาน

กลไกการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างอุตสาหกรรม นโยบายภาครัฐ และอำนาจต่อรองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละภาคส่วน

3.1 อินโดนีเซีย

กลไกการกำหนดราคาผลปาล์มสด (FFB) ระดับเกษตรกร: ราคา FFB ที่เกษตรกรได้รับในอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลอย่างมากจากราคา CPO ในตลาดโลก. การกำหนดราคา FFB ดำเนินการโดยทีมกำหนดราคา ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ (Plantation Agency), บริษัทปาล์มน้ำมันประมาณ 10 แห่ง, และสมาคมเกษตรกร (Apkasindo). ราคาอ้างอิงจะมาจากราคา CPO ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากตลาดมาเลเซียและอัมสเตอร์ดัม และจะมีการหักต้นทุนการแปรรูป FFB เป็น CPO ออกไป.  

อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอย่างชัดเจนในราคาที่เกษตรกรได้รับจริง เกษตรกรอิสระมักได้รับราคา FFB ต่ำกว่าราคาที่กำหนดโดยรัฐบาลประมาณ 200-300 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม และต่ำกว่าเกษตรกรในระบบ Plasma farmers ที่เป็นพันธมิตรกับบริษัท ซึ่งได้รับราคาที่สูงกว่า. ความแตกต่างนี้เกิดจากการที่เกษตรกรอิสระขาดอำนาจต่อรองและช่องทางการเข้าถึงโรงงานโดยตรง ทำให้ต้องพึ่งพาคนกลาง. นอกจากนี้ การกำหนดราคา FFB ในบางพื้นที่ เช่น สุมาตราใต้ ทำเพียงปีละสองครั้ง ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างจากราคา CPO ในตลาดโลกที่ผันผวนบ่อยครั้ง. ในขณะที่บางจังหวัด เช่น Riau มีการกำหนดราคารายสัปดาห์ ซึ่งช่วยลดความผันผวนและทำให้ราคาที่เกษตรกรได้รับใกล้เคียงกับราคาตลาดมากขึ้น.  

Farmer’s Share: การศึกษาหนึ่งพบว่าสัดส่วนรายได้ที่เกษตรกรได้รับอยู่ที่ 66.03% ขณะที่คนกลาง (trader) ได้รับ 33.97%. อย่างไรก็ตาม ค่าความยืดหยุ่นของการส่งผ่านราคา (elasticity of price transmission) อยู่ที่ 0.858 ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงราคา FFB ที่ระดับเกษตรกรนั้นน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงราคา CPO ในตลาดโลก. นี่แสดงให้เห็นว่าแม้เกษตรกรจะได้รับส่วนแบ่งที่ดูเหมือนสูง แต่พวกเขากลับมีความยืดหยุ่นน้อยในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาตลาดโลก ซึ่งอาจทำให้รายได้ไม่สอดคล้องกับภาวะตลาดที่แท้จริง  

กลไกการกำหนดราคา CPO ระดับโรงงานและราคาผลิตภัณฑ์แปรรูป: ราคา CPO ในอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลอย่างมากจากราคาตลาดโลก. รัฐบาลอินโดนีเซียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาและอุปทานภายในประเทศผ่านนโยบาย Domestic Market Obligation (DMO) และ Domestic Price Obligation (DPO).  

  • DMO: กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องนำผลิตภัณฑ์ 30% ของปริมาณที่วางแผนจะส่งออกมาจำหน่ายในประเทศ. ในปี 2566 DMO กำหนดให้ผู้ส่งออกสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มได้เพียง 6 เท่าของปริมาณที่ขายในประเทศ จากเดิม 8 เท่า. มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอุปทานภายในประเทศและควบคุมราคาน้ำมันปรุงอาหารที่พุ่งสูงขึ้น.  
  • DPO: กำหนดราคาสูงสุดสำหรับ CPO และโอเลอีนที่ขายให้กับโรงกลั่นในประเทศ. ในปี 2565 ราคา CPO ถูกกำหนดที่ 9,300 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม และ RBDPO ที่ 10,300 รูเปียห์ต่อกิโลกรัม.  

กลไกการกำหนดราคาและภาษีส่งออก: อินโดนีเซียใช้ระบบภาษีส่งออก (Export Duty – BK) และค่าธรรมเนียมส่งออก (Export Levy – PE) ที่ซับซ้อนเพื่อควบคุมการส่งออกและรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศ.  

  • ราคาอ้างอิง (Reference Price – HR): ใช้สำหรับการกำหนดภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียม โดยคำนวณจากราคาเฉลี่ยในตลาดซื้อขาย CPO ของอินโดนีเซีย มาเลเซีย และตลาดประมูลรอตเตอร์ดัม. หากราคาแตกต่างกันเกิน 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้ค่ามัธยฐานของสองแหล่งราคาที่ใกล้เคียงที่สุด.  
  • ภาษีส่งออก (BK): มีโครงสร้างแบบขั้นบันได ขึ้นอยู่กับราคาอ้างอิง.  
  • ค่าธรรมเนียมส่งออก (PE): กำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาอ้างอิง (เช่น 7.5% หรือ 10%). รายได้จากค่าธรรมเนียมนี้ถูกนำไปใช้สนับสนุนโครงการปลูกทดแทน วิจัยและพัฒนา และโครงการไบโอดีเซล.  

นโยบายภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา: รัฐบาลอินโดนีเซียมีมาตรการหลายอย่างเพื่อควบคุมราคาและอุปทานน้ำมันปาล์มภายในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันปรุงอาหาร.  

  • โครงการน้ำมันปรุงอาหารราคาเดียว (One-price cooking oil) และราคาสูงสุดขายปลีก (HET): กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันปรุงอาหารที่ 14,000 รูเปียห์ต่อลิตรสำหรับบรรจุภัณฑ์ และ 11,500 รูเปียห์ต่อลิตรสำหรับแบบบรรจุภัณฑ์ธรรมดา.  
  • การสนับสนุนเชื้อเพลิงชีวภาพ (ไบโอดีเซล): อินโดนีเซียมีนโยบายบังคับใช้ไบโอดีเซล B35 (ผสมน้ำมันปาล์ม 35%) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก. มีแผนจะเพิ่มเป็น B40 ในปี 2568 และอาจถึง B50 ในปี 2569. นโยบายนี้จะดึง CPO จำนวนมากไปใช้ในประเทศ (ประมาณ 11.44 ล้านตันในปี 2566 และ 13.6 ล้านตันในปี 2568) , ซึ่งช่วยลดปริมาณ CPO ที่ออกสู่ตลาดโลกและหนุนราคา.  

การดำเนินนโยบายของอินโดนีเซียสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายสองประการที่ขัดแย้งกันในบางครั้ง ประการแรกคือการรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศและสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงานให้กับประชาชน. ประการที่สองคือการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันผ่านอุตสาหกรรมปลายน้ำและไบโอดีเซล เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้าและเพิ่มรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูป. การใช้มาตรการ DMO, DPO, ภาษีส่งออก และค่าธรรมเนียมส่งออกที่เข้มงวดนั้น เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้เพื่อควบคุมอุปทานและราคา โดยเฉพาะการดึง CPO เข้าสู่ตลาดภายในประเทศเพื่อผลิตไบโอดีเซลและน้ำมันปรุงอาหาร. อย่างไรก็ตาม การควบคุมเหล่านี้อาจลดความยืดหยุ่นในการส่งออกและทำให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก. การที่รัฐบาลอินโดนีเซียต้องปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบอยู่บ่อยครั้ง บ่งชี้ว่าการรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายภายในประเทศและภายนอกประเทศเป็นความท้าทายที่ต่อเนื่องสำหรับอินโดนีเซีย  

3.2 มาเลเซีย

กลไกการกำหนดราคาผลปาล์มสด (FFB) ระดับเกษตรกร: มาเลเซียมีกลไกการกำหนดราคา FFB ที่โปร่งใสมากขึ้น โดย MPOB (Malaysian Palm Oil Board) ได้ออกแนวทางสำหรับการคำนวณราคา FFB ตั้งแต่ปี 2539. MPOB เผยแพร่ราคาอ้างอิง FFB รายวัน (FFB Reference Price at 1% OER) ซึ่งเกษตรกรสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงและเปรียบเทียบกับราคาที่ได้รับจากโรงงานหรือคนกลางได้. ราคาอ้างอิงนี้ไม่ได้เป็นราคาบังคับ แต่เป็นแนวทางที่ช่วยให้เกษตรกรเข้าใจถึงความสำคัญของการขาย FFB คุณภาพสูงเพื่ออัตราการสกัดน้ำมัน (OER) ที่ดีขึ้นและราคาที่ดีขึ้น. การคำนวณราคา FFB จะอ้างอิงจากราคาตลาดปัจจุบันของ CPO, PK (Palm Kernel) และ CPKO (Crude Palm Kernel Oil) ตามภูมิภาค โดยได้มาจากข้อมูลสัญญาที่ผู้รับใบอนุญาตรายงานต่อ MPOB.  

กลไกการกำหนดราคา CPO ระดับโรงงานและราคาผลิตภัณฑ์แปรรูป: ราคา CPO ที่โรงงาน (mill gate) และราคา CPO ที่ส่งมอบในประเทศ (local delivered) ได้รับอิทธิพลจากราคาตลาดโลกและปัจจัยอุปทาน-อุปสงค์ในประเทศ. MPOB มีการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักจากการทำสัญญาซื้อขายที่ผู้รับใบอนุญาตรายงาน. ราคา CPO เฉลี่ยในประเทศอยู่ที่ 3,809.50 ริงกิตต่อตันในปี 2566 และเพิ่มขึ้นเป็น 4,179.50 ริงกิตต่อตันในปี 2567.  

กลไกการกำหนดราคาและภาษีส่งออก: มาเลเซียใช้ระบบภาษีส่งออก CPO แบบขั้นบันได ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการแปรรูปภายในประเทศ.  

  • โครงสร้างภาษี: อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามราคา CPO โดยเริ่มต้นที่ 0% สำหรับราคาต่ำกว่า 2,250 ริงกิตต่อตัน และสูงสุดที่ 10% เมื่อราคาสูงกว่า 4,050 ริงกิตต่อตัน.  
  • ราคาอ้างอิง: รัฐบาลกำหนดราคาอ้างอิงรายเดือน (เช่น 4,449.35 ริงกิตต่อตันในเดือนพฤษภาคม 2568) ซึ่งใช้ในการคำนวณอัตราภาษีที่บังคับใช้. กลไกนี้สร้าง “ราคาพื้น” (price floor) ที่ 4,050 ริงกิตต่อตัน ซึ่งเป็นจุดที่ภาษีสูงสุดเริ่มบังคับใช้ ทำให้ผู้ผลิตไม่ต้องการขายต่ำกว่าระดับนี้มากนัก.  
  • Bursa Malaysia Derivatives (BMD): ตลาดซื้อขายล่วงหน้า CPO (FCPO) ของ BMD เป็นเกณฑ์ราคาอ้างอิงระดับโลกสำหรับตลาด CPO มาตั้งแต่ปี 2523. FCPO ถูกใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงโดยผู้เล่นในอุตสาหกรรม และช่วยให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางการค้นพบราคา (price discovery centre) สำหรับปาล์มน้ำมันที่ซื้อขายทั่วโลก.  

นโยบายภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา: มาเลเซียมีนโยบายสำคัญที่ส่งผลต่อราคาและอุปทานปาล์มน้ำมัน:

  • นโยบายไบโอดีเซล: มาเลเซียมีนโยบายบังคับใช้ไบโอดีเซล (Biodiesel Mandate) เช่น B10 (ผสมน้ำมันปาล์ม 10%) สำหรับภาคการขนส่ง และ B7 สำหรับภาคอุตสาหกรรม. มีแผนที่จะเพิ่มเป็น B20 และ B30 ในอนาคต โดย B20 จะดูดซับ CPO ได้ 500,000 ตันต่อปี และ B30 มีเป้าหมายภายในปี 2573. นโยบายเหล่านี้ช่วยเพิ่มการบริโภคภายในประเทศและบริหารจัดการสต็อกส่วนเกินเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา CPO.  
  • มาตรฐานความยั่งยืน (MSPO): การรับรอง MSPO (Malaysian Sustainable Palm Oil) เป็นข้อกำหนดบังคับสำหรับการส่งมอบทางกายภาพของ FCPO ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งทำให้ BMD เป็นตลาดแรกของโลกที่กำหนดมาตรฐานความยั่งยืนในการส่งมอบสินค้าโภคภัณฑ์. MSPO 2.0 ครอบคลุม 4% ของพื้นที่เพาะปลูกและมีเป้าหมาย 10% ภายในปี 2569 ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดพรีเมียมอย่าง EU.  

แนวทางของมาเลเซียในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างกลไกตลาดเสรีกับการแทรกแซงเชิงกลยุทธ์ของภาครัฐ. การใช้ตลาดซื้อขายล่วงหน้าเป็นเกณฑ์ราคาอ้างอิงระดับโลกควบคู่ไปกับระบบภาษีส่งออกแบบขั้นบันได ช่วยให้มาเลเซียสามารถรักษาเสถียรภาพราคาและบริหารจัดการอุปทานส่วนเกินได้โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาดมากเกินไป. การมุ่งเน้นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศผ่านนโยบายไบโอดีเซลและมาตรฐานความยั่งยืน (MSPO) ยังช่วยเพิ่มมูลค่าและขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันของมาเลเซีย. อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านแรงงานและการปลูกทดแทน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานในระยะยาวและจำเป็นต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีและนโยบายที่เหมาะสมเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดโลก.  

3.3 ประเทศไทย

กลไกการกำหนดราคาผลปาล์มสด (FFB) ระดับเกษตรกร: ราคา FFB ที่เกษตรกรไทยได้รับได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการแทรกแซงของภาครัฐและบทบาทของคนกลาง.  

  • การแทรกแซงของภาครัฐ: รัฐบาลไทยมีนโยบายประกันราคาปาล์มน้ำมันที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ 18%. เมื่อพิจารณาจากปัจจัยบวก เช่น ราคา CPO ที่สูงขึ้น อัตราการสกัดน้ำมันที่ดีขึ้น และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลได้ปรับราคารับซื้อผลปาล์ม (18% OER) ขึ้นเป็น 5.20 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลทันที.  
  • บทบาทของคนกลาง (ลานเท): เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่จำเป็นต้องพึ่งพาการขายผลปาล์มน้ำมันผ่านลานเท เนื่องจากปริมาณผลผลิตต่อรายต่ำและไม่คุ้มค่าในการขนส่งไปขายตรงกับโรงงานสกัด. ลานเทมีอำนาจต่อรองสูงกว่าเกษตรกร ทำให้เกษตรกรอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบในการกำหนดราคา. เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส กรมการค้าภายในได้เน้นย้ำให้ลานเทติดป้ายแสดงราคารับซื้ออย่างชัดเจน.  

กลไกการกำหนดราคา CPO ระดับโรงงานและราคาผลิตภัณฑ์แปรรูป: ราคา CPO ในประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก นโยบายภาครัฐ และความผันผวนของตลาด. ราคา CPO ในตลาดล่วงหน้ากรุงเทพ (F.O.B.) มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับราคา CPO ในประเทศไทย. เมื่อราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ราคาผลปาล์มที่เกษตรกรขายได้ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย.  

กลไกการกำหนดราคาและนโยบายส่งออก: การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของไทยยังทำได้จำกัด เนื่องจากตลาดน้ำมันปาล์มโลกอยู่ในช่วงซบเซาและเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาด. ผลผลิตส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศ.  

  • การสนับสนุนการส่งออก: รัฐบาลเคยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสำหรับการส่งออก CPO ในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาท เมื่อระดับสต็อก CPO ในประเทศสูงกว่า 3 แสนตัน และราคาในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก.  
  • การควบคุมราคาขายปลีก: รัฐบาลมีนโยบายควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวดไม่เกิน 50 บาทต่อลิตร.  

นโยบายภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและกระจายรายได้: รัฐบาลไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาและยกระดับรายได้เกษตรกร.  

  • โครงการประกันรายได้: เป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกร.  
  • นโยบายไบโอดีเซล: กระทรวงพลังงานได้ปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก B7 เป็น B5 เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศด้านพลังงานทดแทน. อย่างไรก็ตาม มีแผนที่จะยุติการอุดหนุนราคาไบโอดีเซลภายในปี 2569.  
  • การผลักดันกฎหมาย: รัฐบาลกำลังร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เพื่อสร้างกรอบการทำงานที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกรและอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้ที่เป็นธรรมและสร้างความมั่นคงในระยะยาว.  

นโยบายของประเทศไทยมุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศและยกระดับรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย. การใช้มาตรการประกันราคาและควบคุมราคาขายปลีกเป็นเครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายนี้. อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาคนกลางและปัญหาคุณภาพผลผลิตในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยยังคงเป็นความท้าทายที่ส่งผลต่อการกระจายรายได้ที่แท้จริง. การที่นโยบายไบโอดีเซลมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการผสมและมีแผนยุติการอุดหนุน สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะปรับสมดุลระหว่างการใช้พลังงานทดแทนและผลกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมันในประเทศ. การผลักดันกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในระยะยาวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐที่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงและเป็นธรรมให้กับทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน.  

ตารางเปรียบเทียบ: กลไกการกำหนดราคาและนโยบายหลัก

คุณลักษณะอินโดนีเซียมาเลเซียไทย
กลไกราคา FFBอ้างอิงราคา CPO โลก, กำหนดโดยทีม (รัฐ, บริษัท, สมาคม), หักต้นทุนแปรรูป. ราคาเกษตรกรอิสระต่ำกว่า.MPOB เผยแพร่ราคาอ้างอิงรายวัน (FFB Reference Price at 1% OER) ไม่บังคับ. อ้างอิง CPO, PK, CPKO.ภาครัฐประกันราคา (เช่น 4 บาท/กก. ที่ 18% OER) และปรับขึ้นตามตลาด. คนกลาง (ลานเท) มีบทบาทสำคัญและอำนาจต่อรองสูง.
Farmer’s Share66.03% (จากการศึกษาหนึ่ง).เกษตรกรรายย่อย 99.7% มีรายได้สูงกว่าเส้นแบ่งความยากจน.เกษตรกรรายย่อยได้รับผลประโยชน์ไม่เต็มที่.
กลไกราคา CPOอ้างอิงราคาตลาดโลก. ภาครัฐแทรกแซงผ่าน DMO/DPO.อ้างอิงตลาดซื้อขายล่วงหน้า BMD (FCPO). MPOB เผยแพร่ราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก.อ้างอิงตลาดโลก (ตลาดล่วงหน้ากรุงเทพ). อิทธิพลจากสต็อกในประเทศ.
ภาษี/ค่าธรรมเนียมส่งออกภาษีส่งออก (BK) และค่าธรรมเนียมส่งออก (PE) แบบขั้นบันได, ขึ้นอยู่กับราคาอ้างอิง.ภาษีส่งออกแบบขั้นบันได (สูงสุด 10% เมื่อราคา > 4,050 ริงกิต/ตัน).ไม่มีภาษีส่งออก CPO ที่ชัดเจนเหมือนสองประเทศแรก แต่มีมาตรการส่งออกเพื่อบริหารสต็อก.
นโยบายไบโอดีเซลB35 บังคับใช้ (ปี 2566), แผน B40 (ปี 2568), B50 (ปี 2569).B10 บังคับใช้, แผน B20 และ B30 (ปี 2573).B5 บังคับใช้, แผนยุติการอุดหนุน (ปี 2569).
การควบคุมราคา/อุปทานDMO (บังคับขายในประเทศ), DPO (กำหนดราคาสูงสุด), HET (ราคาขายปลีกสูงสุด).ภาษีส่งออกเป็นราคาพื้น (price floor).โครงการประกันราคา, ควบคุมราคาขายปลีก.
มาตรฐานความยั่งยืนISPO (Indonesia Sustainable Palm Oil).MSPO (Malaysian Sustainable Palm Oil) บังคับใช้.RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) และ TASPO (Thailand Alliance for Sustainable Palm Oil).

4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาปาล์มน้ำมันและผลประโยชน์

ราคาปาล์มน้ำมันและผลประโยชน์ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับตลอดห่วงโซ่อุปทานได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากด้านอุปทาน อุปสงค์ นโยบายภาครัฐ และบทบาทของตลาดซื้อขายล่วงหน้า

4.1 ปัจจัยด้านอุปทาน

  • สภาพอากาศ: ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น เอลนีโญ (El Niño) ซึ่งทำให้เกิดภาวะแล้งและอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันในมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยเคยทำให้ผลผลิตลดลงเป็นตัวเลขสองหลักในช่วงปี 2558-2559 และส่งผลให้ราคา CPO เพิ่มขึ้นอย่างมาก. การลดลงของปริมาณน้ำฝนในช่วงเอลนีโญสร้างความเครียดระหว่างการพัฒนาทะลายปาล์มและลดผลผลิต FFB. ในทางกลับกัน ปริมาณน้ำฝนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก็ส่งผลกระทบเชิงลบต่อปาล์มน้ำมันและลดการผลิตน้ำมันเช่นกัน. สถานการณ์น้ำท่วมในมาเลเซียก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต.  
  • ปัญหาแรงงานและการปลูกทดแทน: การขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเก็บเกี่ยว FFB ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันในมาเลเซียและอินโดนีเซีย. นอกจากนี้ สวนปาล์มที่มีอายุมากขึ้น (เกิน 20-25 ปี) จะให้ผลผลิตลดลง และจำเป็นต้องมีการปลูกทดแทน. อย่างไรก็ตาม อัตราการปลูกทดแทนในมาเลเซียยังคงต่ำกว่าเป้าหมายมาก (เฉลี่ย 2.2% เทียบกับ 4-5%) เนื่องจากเกษตรกรต้องขาดรายได้ในช่วง 3-4 ปีที่ต้นปาล์มใหม่ยังไม่ให้ผลผลิต. ปัญหานี้เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่ออุปทานในระยะยาว.  
  • ผลผลิตต่อไร่และคุณภาพ: ในประเทศไทย ผลผลิต FFB เฉลี่ยต่อไร่ต่ำกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย. นอกจากนี้ พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ปลูกส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำและมักมีการเก็บเกี่ยวผลปาล์มก่อนสุก ส่งผลให้อัตราการสกัดน้ำมัน (OER) อยู่ในระดับต่ำ (14-17%) เมื่อเทียบกับ 20% ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย. คุณภาพผลผลิตที่ต่ำนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกรและประสิทธิภาพของโรงงานสกัด  
  • ต้นทุนการผลิต: ต้นทุนปาล์มน้ำมันของไทยสูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย. ต้นทุนหลักที่เกษตรกรไทยใช้จ่ายมากที่สุดคือค่าแรงเก็บเกี่ยวและค่าปุ๋ยเคมี. การหยุดชะงักของอุปทานปุ๋ยเนื่องจากสงครามยูเครนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น.  

4.2 ปัจจัยด้านอุปสงค์

  • นโยบายไบโอดีเซล: นโยบายไบโอดีเซลของอินโดนีเซีย (B35, B40, B50) และมาเลเซีย (B10, B20, B30) เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนอุปสงค์ภายในประเทศและส่งผลกระทบต่ออุปทานในตลาดโลก. การเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มในไบโอดีเซลทำให้อุปทาน CPO เพื่อการส่งออกลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้น.  
  • ความต้องการจากตลาดส่งออกหลัก: ความต้องการน้ำมันปาล์มจากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างอินเดียและจีนมีผลอย่างมากต่อราคาตลาดโลก. การเปิดประเทศของจีนและการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นของอินเดียสามารถกระตุ้นอุปสงค์ได้. อย่างไรก็ตาม ความต้องการจากจีนอาจลดลงเนื่องจากการแข่งขันจากน้ำมันถั่วเหลืองที่มีราคาถูกกว่า.  
  • ราคาพืชน้ำมันทดแทน: ราคาน้ำมันปาล์มมีความสัมพันธ์กับราคาพืชน้ำมันทดแทนอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันเรพซีด. เมื่อราคาน้ำมันทดแทนสูงขึ้น ผู้ซื้อจะหันมาใช้น้ำมันปาล์มเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อราคาน้ำมันปาล์ม. การเปลี่ยนแปลงนโยบายไบโอดีเซลในสหรัฐฯ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อราคาและอุปสงค์ของน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันปาล์มได้เช่นกัน.  

4.3 นโยบายภาครัฐและกฎระเบียบ

  • ภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียม: อินโดนีเซียและมาเลเซียใช้ภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมส่งออกเป็นเครื่องมือในการควบคุมอุปทานและราคา. นโยบายเหล่านี้สามารถเพิ่มต้นทุนการส่งออกและส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก.  
  • Domestic Market Obligation (DMO) และ Domestic Price Obligation (DPO): อินโดนีเซียใช้ DMO และ DPO เพื่อควบคุมอุปทานและราคาภายในประเทศ โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขายส่วนหนึ่งของผลผลิตในตลาดภายในประเทศและกำหนดราคาสูงสุด.  
  • เงินอุดหนุนและโครงการประกันราคา: รัฐบาลไทยใช้โครงการประกันราคาปาล์มน้ำมันและเงินอุดหนุนเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกร.  
  • มาตรฐานความยั่งยืน: มาตรฐานเช่น MSPO (มาเลเซีย) และ RSPO (สากล) มีความสำคัญมากขึ้นในการเข้าถึงตลาดโลก โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป ซึ่งมีกฎระเบียบด้านการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ที่เข้มงวด. การปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและเพิ่มโอกาสในการส่งออก.  

4.4 บทบาทของตลาดซื้อขายล่วงหน้า

ตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาอ้างอิงและบริหารความเสี่ยงในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน:

  • Bursa Malaysia Derivatives (BMD): สัญญาซื้อขายล่วงหน้า CPO (FCPO) ของ BMD เป็นเกณฑ์ราคาอ้างอิงระดับโลกสำหรับตลาด CPO มาตั้งแต่ปี 2523 และถูกใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงโดยผู้เล่นในอุตสาหกรรม.  
  • Indonesia Commodity and Derivatives Exchange (ICDX): ICDX ได้เปิดตัวสัญญาซื้อขายล่วงหน้า CPOTR ในปี 2553 เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารความเสี่ยงสำหรับผู้เข้าร่วมตลาด CPO ในอินโดนีเซีย และเป็นเกณฑ์ราคาอ้างอิงสำหรับผู้ส่งออก CPO ในประเทศ.  

5. การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบสัดส่วนผลประโยชน์รายได้

การกระจายผลประโยชน์รายได้ตลอดห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและความเป็นธรรมของกลไกราคาในแต่ละประเทศ

5.1 เกษตรกร

  • อินโดนีเซีย: เกษตรกรรายย่อยอิสระมักได้รับราคา FFB ที่ต่ำกว่าราคาที่กำหนดโดยรัฐบาลและราคาที่เกษตรกรในระบบ Plasma farmers ได้รับ. การศึกษาหนึ่งระบุว่าเกษตรกรได้รับส่วนแบ่งรายได้ 66.03%. อย่างไรก็ตาม ค่าความยืดหยุ่นของการส่งผ่านราคาที่น้อยกว่า 1 (0.858) บ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงราคา FFB ที่เกษตรกรได้รับนั้นน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงราคา CPO ในตลาดโลก.  
  • มาเลเซีย: เกษตรกรรายย่อย 99.7% มีรายได้สูงกว่าเส้นแบ่งความยากจนของประเทศ. MPOB มีการเผยแพร่ราคาอ้างอิง FFB รายวันเพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถเปรียบเทียบราคาที่ได้รับและส่งเสริมการขาย FFB คุณภาพสูง.  
  • ประเทศไทย: เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นรายย่อยที่มีพื้นที่ปลูกขนาดเล็ก ทำให้มีอำนาจต่อรองจำกัดและต้องพึ่งพาคนกลาง. คุณภาพผลผลิตที่ต่ำ (OER 14-17%) และการเก็บเกี่ยวที่ยังไม่เหมาะสม ส่งผลให้ต้นทุนสูงและได้รับผลประโยชน์ไม่เต็มที่. อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีโครงการประกันราคาเพื่อช่วยพยุงรายได้.  

ความท้าทายและโอกาสในการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร: เกษตรกรในทั้งสามประเทศเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มรายได้จากปัจจัยด้านคุณภาพผลผลิต การเข้าถึงตลาด และการรวมกลุ่ม เกษตรกรรายย่อยในอินโดนีเซียและไทยมักขาดการเข้าถึงทรัพยากรและข้อมูลที่จำเป็น. การส่งเสริมการใช้พันธุ์ดี การให้ความรู้ด้านการจัดการสวน การปรับปรุงคุณภาพการเก็บเกี่ยว และการสร้างช่องทางการตลาดที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองและยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้.  

5.2 คนกลาง/ลานเท

  • อินโดนีเซีย: คนกลางหรือผู้รวบรวม (collector/wholesaler) มีบทบาทในการเชื่อมโยง FFB จากเกษตรกรไปยังโรงงาน. การศึกษาหนึ่งระบุว่าคนกลางได้รับส่วนแบ่งรายได้ 33.97%.  
  • มาเลเซีย: เกษตรกรรายย่อยอิสระมักพึ่งพาคนกลางในการขาย FFB เนื่องจากมีข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดหรือโรงงานโดยตรง. คนกลางมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเกษตรกรกับตลาดและส่งผ่านข้อมูลราคา.  
  • ประเทศไทย: ลานเทเป็นจุดรับซื้อสำคัญสำหรับเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่. ผู้ประกอบการลานเทยังมีอำนาจการต่อรองสูงกว่าเกษตรกรปาล์มน้ำมันซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายย่อย. บทบาทของคนกลางนี้ แม้จะอำนวยความสะดวกในการรวบรวมผลผลิต แต่ก็อาจส่งผลให้เกษตรกรได้รับราคาที่ต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น.  

5.3 ผู้ผลิตแปรรูปสกัดน้ำมัน (โรงงานสกัด)

  • อินโดนีเซียและมาเลเซีย: โรงงานสกัดมีบทบาทสำคัญในการแปรรูป FFB เป็น CPO. กำไรของโรงงานขึ้นอยู่กับอัตราการสกัดน้ำมัน (OER) ต้นทุนวัตถุดิบ (FFB) และราคาขาย CPO. บริษัทขนาดใหญ่มักมีการลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ เช่น โรงกลั่นน้ำมันพืชและโรงงานไบโอดีเซล เพื่อเพิ่มมูลค่า.  
  • ประเทศไทย: มีโรงงานสกัด 149 แห่ง. โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในไทยยังไม่สามารถดูดซับอุปทาน CPO ได้ทั้งหมด ทำให้โรงสกัดต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ไบโอดีเซล การผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ และคลังเก็บน้ำมัน. ผู้ประกอบการรายใหญ่มักลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานด้วย.  

5.4 ผู้ส่งออก

  • อินโดนีเซีย: ผู้ส่งออกเผชิญกับข้อจำกัดและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบาย DMO, DPO, ภาษีส่งออก และค่าธรรมเนียมส่งออก. แม้มาตรการเหล่านี้จะมุ่งเป้าไปที่การรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ แต่ก็อาจลดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลก.  
  • มาเลเซีย: ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากภาษีส่งออกแบบขั้นบันได ซึ่งทำหน้าที่เป็นราคาพื้น. ตลาดซื้อขายล่วงหน้า BMD ช่วยให้ผู้ส่งออกบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้. มาเลเซียพยายามกระจายตลาดส่งออกเพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง.  
  • ประเทศไทย: การส่งออก CPO ของไทยยังจำกัด เนื่องจากตลาดโลกมีอุปทานล้นตลาด. การส่งออกส่วนใหญ่เป็นการระบายสต็อกส่วนเกินเมื่อราคาในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก.  

6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย

การวิเคราะห์เปรียบเทียบกลไกการกำหนดราคาและการกระจายผลประโยชน์ในห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เผยให้เห็นถึงความหลากหลายของแนวทางในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมนี้ แต่ละประเทศมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนถึงบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของตนเอง

บทสรุป:

  • อินโดนีเซีย ในฐานะผู้นำตลาดโลก ใช้กลไกราคาที่เน้นการควบคุมอุปทานและราคาภายในประเทศอย่างเข้มงวดผ่าน DMO, DPO และภาษีส่งออก เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของนโยบายและการขาดการเข้าถึงทรัพยากรของเกษตรกรรายย่อยอิสระยังคงเป็นความท้าทายในการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
  • มาเลเซีย มีแนวทางที่เน้นตลาดมากขึ้น โดยใช้ตลาดซื้อขายล่วงหน้าเป็นกลไกหลักในการกำหนดราคาอ้างอิงและบริหารความเสี่ยง ควบคู่ไปกับภาษีส่งออกแบบขั้นบันไดและนโยบายไบโอดีเซลเพื่อรักษาเสถียรภาพและเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ ความท้าทายด้านแรงงานและการปลูกทดแทนเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
  • ประเทศไทย มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศและยกระดับรายได้เกษตรกรเป็นหลักผ่านการประกันราคาและการควบคุมราคาขายปลีก อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในเกษตรกรรายย่อยที่มีประสิทธิภาพต่ำ และบทบาทของคนกลางที่มีอำนาจต่อรองสูง ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมและคุณภาพผลผลิตโดยรวม

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย:

เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในระยะยาว และสร้างการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ควรพิจารณาข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้:

  1. การยกระดับรายได้เกษตรกรและลดความเหลื่อมล้ำ:
    • ส่งเสริมการใช้พันธุ์ดีและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย: ควรมีการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตสูงและมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้น รวมถึงส่งเสริมการนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาใช้ในการจัดการสวนปาล์ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่และคุณภาพของทะลายปาล์มสด.  
    • พัฒนาองค์ความรู้และทักษะการจัดการสวนปาล์ม: จัดฝึกอบรมและให้ความรู้แก่เกษตรกรรายย่อยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการบำรุงรักษาผลปาล์ม การเก็บเกี่ยวผลปาล์มที่สุกเต็มที่ และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มอัตราการสกัดน้ำมัน (OER) และลดการสูญเสีย.  
    • สร้างกลไกตลาดที่โปร่งใสและเป็นธรรม ลดการพึ่งพาคนกลาง: สนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการขายผลผลิตโดยตรงกับโรงงานสกัด. ส่งเสริมการใช้ระบบการแสดงราคารับซื้อที่ชัดเจนและโปร่งใส ณ จุดรับซื้อ (ลานเท) เพื่อให้เกษตรกรสามารถเปรียบเทียบราคาและตัดสินใจขายได้อย่างเป็นธรรม.  
    • พิจารณากลไกประกันราคาหรืออุดหนุนที่เหมาะสมกับต้นทุนการผลิต: ทบทวนและปรับปรุงโครงการประกันราคาให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกร และพิจารณาการให้เงินอุดหนุนปัจจัยการผลิตที่สำคัญ เช่น ปุ๋ยคุณภาพดี เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกร.  
  2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม:
    • ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่ม OER และลดต้นทุน: ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดน้ำมันปาล์มดิบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อเพิ่ม OER ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของโรงงานและสามารถส่งผ่านผลประโยชน์บางส่วนไปยังเกษตรกรได้.  
    • สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมปลายน้ำเพื่อเพิ่มมูลค่า: ส่งเสริมการลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคอล (Oleochemical) เพื่อแปรรูป CPO เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น สบู่ เครื่องสำอาง ยา และอาหารสัตว์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศและลดการพึ่งพาการส่งออก CPO.  
    • ปรับนโยบายไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดโลกและต้นทุน: ประเมินผลกระทบของการยุติการอุดหนุนราคาไบโอดีเซลต่อราคาปาล์มน้ำมันในประเทศและรายได้เกษตรกรอย่างรอบด้าน. ควรพิจารณาแนวทางที่ยืดหยุ่นในการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพราคาพลังงาน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการใช้ภายในประเทศและการส่งออก.  
  3. การสร้างความยั่งยืนในระยะยาว:
    • ส่งเสริมมาตรฐานความยั่งยืน (MSPO/RSPO) เพื่อการเข้าถึงตลาดโลก: สนับสนุนให้เกษตรกรและโรงงานสกัดได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืน เช่น RSPO หรือ MSPO เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดส่งออกที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป. การรับรองนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสทางการตลาด แต่ยังช่วยยกระดับการปฏิบัติงานและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย.  
    • บริหารจัดการสต็อกและอุปทานให้เหมาะสม: พัฒนาระบบข้อมูลและคาดการณ์ผลผลิตและอุปสงค์ปาล์มน้ำมันที่แม่นยำ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสต็อกในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มาตรการส่งออกหรือการบริโภคภายในประเทศเพื่อรักษาสมดุลราคา.  
    • ติดตามและปรับตัวต่อนโยบายของประเทศคู่แข่งและปัจจัยภายนอก: ติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมถึงแนวโน้มราคาพืชน้ำมันทดแทนและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์และนโยบายของไทยได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ.  

แหล่งข้อมูลที่ใช้ในรายงานฉบับนี้itd.or.th3.1 ภาพรวมห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมนามันปาล์มเปิดในหน้าต่างใหม่hu.ac.thปัจจัยเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไทย – มหาวิทยาลัยหาดใหญ่เปิดในหน้าต่างใหม่krungsri.comแนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ปี 2568-2570 – ธนาคารกรุงศรีเปิดในหน้าต่างใหม่agflow.comThe Palm Oil Price Tends to Drop in Thailand – AgFlowเปิดในหน้าต่างใหม่thaipbs.or.thเคาะราคารับซื้อปาล์ม 5.20 บาท/กก. ชาวสวนปาล์มยิ้ม มีผลทันทีวันนี้ – Thai PBSเปิดในหน้าต่างใหม่ebrd.comSector supply-chain guidance – palm | EBRDเปิดในหน้าต่างใหม่so02.tci-thaijo.orgปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไทย – ThaiJOเปิดในหน้าต่างใหม่rspo.orgPress Release: Thailand strengthens shared vision for a sustainable palm oil industryเปิดในหน้าต่างใหม่bangkokbiznews.comสศก. หวั่นนโยบาย บี 5 กระทบราคาปาล์มน้ำมัน ขาขึ้น – กรุงเทพธุรกิจเปิดในหน้าต่างใหม่infoquest.co.thรัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาปาล์มครบวงจร ยกระดับรายได้เกษตรกร-คุมราคาขายปลีกปาล์มขวดเปิดในหน้าต่างใหม่thainews.prd.go.thNBT WORLD – Thailand Moves to Protect Palm Oil Farmers Amid Policy Changesเปิดในหน้าต่างใหม่thaigov.go.thรัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาราคาปาล์มครบวงจร ยกระดับรายได้เกษตรกร-คุมราคาน้ำมันขวดไม่เกิน 50 บาท พร้อมดันกฎหมายใหม่วางรากฐานอุตสาหกรรมปาล์มอย่างยั่งยืนเปิดในหน้าต่างใหม่pattayamail.comThailand moves to protect palm oil farmers amid policy changes – Pattaya Mailเปิดในหน้าต่างใหม่rspo.orgFINAL REPORT Oil Palm Development in Thailand: Trends and Progress of Sustainability Efforts in Palm Oil Production and Procuremเปิดในหน้าต่างใหม่krungsri.comIndustry Outlook 2020-2022 : Palm Oil Industry – krungsri.comเปิดในหน้าต่างใหม่krungsri.comแนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2563-2565: อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม – krungsri.comเปิดในหน้าต่างใหม่natres.psu.ac.thรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ การวิเคราะห์ต้นทุนแล – คณะทรัพยากรธรรมชาติเปิดในหน้าต่างใหม่bangkokpost.comPremier calls for farm price stability – Bangkok Postเปิดในหน้าต่างใหม่researchgate.netFair Pricing Formulation for Palm Oil Fresh Fruit Bunch Produced by Smallholder Farmers: A Development Method to Form a More Effective Formula for Palm Oil Fresh Fruit Bunch Pricing to Achieve a Fair Price for Smallholder Farmers – ResearchGateเปิดในหน้าต่างใหม่แหล่งข้อมูลที่อ่านแต่ไม่ได้ใช้ในรายงานฉบับนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *