รายงานการวิเคราะห์กลไกราคาปาล์มน้ำมันของประเทศอินโดนีเซีย
1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
อินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในตลาดปาล์มน้ำมันโลกในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด กลไกการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันในประเทศนี้จึงมีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ทั้งด้านอุปทาน อุปสงค์ นโยบายของรัฐบาล และพลวัตของตลาดโลก รายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์เชิงลึกถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย ปัจจัยขับเคลื่อนราคา และผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่างๆ
การวิเคราะห์พบว่า อินโดนีเซียกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุปสงค์ปาล์มน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการผลักดันนโยบายไบโอดีเซลภายในประเทศที่เข้มข้น ซึ่งกำลังเปลี่ยนทิศทางอุปทานปาล์มน้ำมันจากตลาดส่งออกไปสู่การบริโภคภายในประเทศเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน การเปลี่ยนแปลงนี้ประกอบกับความท้าทายด้านการผลิตที่ยืดเยื้อ เช่น สวนปาล์มที่มีอายุมาก การขาดแคลนแรงงาน และการระบาดของโรคพืช กำลังจำกัดการเติบโตของอุปทานและนำไปสู่ยุคใหม่ที่ราคาปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก นอกจากนี้ โครงสร้างการผลิตที่เกษตรกรรายย่อยมีประสิทธิภาพต่ำและการควบคุมตลาดโดยรัฐบาลผ่านภาษีส่งออกและมาตรการ DMO/DPO ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการส่งผ่านราคาไปยังเกษตรกรและศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก
ในอนาคต คาดว่าราคาปาล์มน้ำมันจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านขาขึ้นจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งและข้อจำกัดด้านอุปทาน การบริหารจัดการที่ยั่งยืนและการส่งเสริมสวัสดิภาพของเกษตรกรรายย่อยจะเป็นความท้าทายสำคัญ ควบคู่ไปกับการแสวงหาโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันภายในประเทศ
2. บทนำ: บทบาทสำคัญของอินโดนีเซียในตลาดปาล์มน้ำมันโลก
อินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพลวัตของตลาดภายในประเทศและการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลจึงส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออุปทานและราคาปาล์มน้ำมันในระดับโลก. ผลผลิตปาล์มน้ำมันดิบ (CPO) ของอินโดนีเซียและมาเลเซียรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 85% ของผลผลิต CPO ทั่วโลก และมากกว่า 90% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด. สัดส่วนตลาดที่โดดเด่นนี้ทำให้อินโดนีเซียมีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดทิศทางราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลก การปรับเปลี่ยนนโยบายการผลิต การบริโภค หรือการค้าของอินโดนีเซียจึงส่งผลสะท้อนไปทั่วทั้งตลาดน้ำมันพืชระหว่างประเทศ
ปาล์มน้ำมันเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เป็นสินค้าเกษตรหลักที่สร้างรายได้และอาชีพให้กับผู้คนนับล้าน สร้างรายได้จากการส่งออกจำนวนมหาศาล และมีส่วนสำคัญต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) การใช้งานที่หลากหลายของปาล์มน้ำมันในภาคอาหาร เคมีภัณฑ์โอเลโอ และเชื้อเพลิงชีวภาพ เน้นย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของพืชชนิดนี้
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย ซึ่งประกอบด้วยหลายชั้น การวิเคราะห์จะเจาะลึกถึงปัจจัยด้านอุปทาน (เช่น ความท้าทายในการผลิต สภาพอากาศ) พลวัตด้านอุปสงค์ (เช่น การบริโภคภายในประเทศ นโยบายไบโอดีเซล ตลาดส่งออก) และอิทธิพลที่แพร่หลายของนโยบายรัฐบาลและกรอบการกำกับดูแล โดยการตรวจสอบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ รายงานมุ่งหวังที่จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการกำหนดราคาปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
3. โครงสร้างอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย
3.1 ภูมิทัศน์การผลิต
พื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีพื้นที่เพาะปลูกรวม 93.46 ล้านไร่ (ประมาณ 14.3 ล้านเฮกตาร์). ในภาพรวม พื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดอยู่ที่ 16.381 ล้านเฮกตาร์ ครอบคลุม 26 จังหวัดในปี 2562. การขยายตัวอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการเพิ่มกำลังการผลิตปาล์มน้ำมัน
ผลผลิตปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียมีปริมาณมาก โดยในปี 2565 มีผลผลิต 256.83 ล้านตัน. ในระดับโลก การผลิต CPO เพิ่มขึ้นในปี 2564/2565 โดยอินโดนีเซียมีส่วนร่วม 45.30 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.14% จากปีก่อนหน้า. อย่างไรก็ตาม แนวโน้มล่าสุดบ่งชี้ถึงการชะลอตัวหรือลดลงของการผลิต ตัวอย่างเช่น การผลิต CPO ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 (กรกฎาคม-สิงหาคม) อยู่ที่ 7.60 ล้านตัน ลดลง 7.42% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 สาเหตุหลักมาจากความล่าช้าของผลผลิตทะลายปาล์มสด (FFB) และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย. การคาดการณ์สำหรับปี 2567 ทั้งปีชี้ว่าผลผลิตรวมจะอยู่ที่ 48 ล้านตัน ซึ่งลดลง 4% จากปีก่อนหน้า แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวเป็น 50 ล้านตันในปี 2568.
ตารางที่ 1: ผลผลิตและพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย (2561-2568)
ปี | เนื้อที่ให้ผลผลิต (ล้านไร่) | ผลผลิตปาล์มน้ำมัน (ล้านตัน) | %YoY ผลผลิต |
---|---|---|---|
2561 | 89.54 | 249.47 | – |
2562 | 90.35 | 250.23 | 0.30 |
2563 | 91.17 | 251.40 | 0.47 |
2564 | 91.38 | 251.57 | 0.07 |
2565 | 93.46 | 256.83 | 2.09 |
2567 (คาดการณ์) | – | 48.00 | -4.00 |
2568 (คาดการณ์) | – | 50.00 | 4.17 |
ที่มา:
ตารางนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงขนาดและแนวโน้มของภาคปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย การนำเสนอข้อมูลย้อนหลังทั้งพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิต CPO พร้อมด้วยตัวชี้วัดการเติบโต ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของการพัฒนาอุปทานได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์องค์ประกอบด้านอุปทานของกลไกราคา การรวมการคาดการณ์ในอนาคตยังช่วยในการประเมินแนวโน้มอุปทานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้มีส่วนร่วมในตลาด นอกจากนี้ การเปรียบเทียบพื้นที่เพาะปลูกกับปริมาณผลผลิตยังสามารถบ่งชี้ถึงผลผลิตต่อพื้นที่โดยนัย ซึ่งเผยให้เห็นแนวโน้มประสิทธิภาพทางการเกษตรหรือปัญหาพื้นฐานที่อาจส่งผลต่อผลผลิตโดยรวม
3.2 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก
ฐานการผลิตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลักตามโครงสร้างการเป็นเจ้าของ ได้แก่ บริษัทเอกชน ซึ่งถือครอง 48.5% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดและมีส่วนร่วม 53.5-56% ของผลผลิต CPO ทั้งหมด เกษตรกรรายย่อย ซึ่งบริหารจัดการ 45% ของพื้นที่เพาะปลูก แต่มีสัดส่วนผลผลิต CPO เพียง 38% และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เพาะปลูกที่เหลือ 6.5%. การกระจายสัดส่วนนี้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของเกษตรกรรายย่อย แม้ว่าประสิทธิภาพการผลิตของพวกเขาจะต่ำกว่าก็ตาม
เกษตรกรรายย่อย: กลุ่มนี้ซึ่งนิยามว่ามีพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่า 25 เฮกตาร์ ได้รับการส่งเสริมอย่างแข็งขันจากรัฐบาลเพื่อสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย. แม้จะมีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกที่สูง แต่ผลผลิตต่อเฮกตาร์ของพวกเขากลับต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด (ประมาณ 75% ของสวนเอกชน/รายใหญ่). ความแตกต่างนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นอย่างจำกัด เช่น ต้นกล้าคุณภาพสูง ปุ๋ยที่เหมาะสม และความรู้และแนวปฏิบัติทางการเกษตรสมัยใหม่. เกษตรกรรายย่อยยังแบ่งออกเป็น “เกษตรกรรายย่อยที่พึ่งพา” ซึ่งเชื่อมโยงและได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชน และ “เกษตรกรรายย่อยอิสระ” ซึ่งดำเนินการอย่างเป็นอิสระและเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดโดยตรงมากกว่า.
บริษัทหลัก: อุตสาหกรรมนี้ประกอบด้วยผู้เล่นที่มีอิทธิพลหลายราย ทั้งบริษัทอินโดนีเซียยักษ์ใหญ่และกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีการดำเนินงานสำคัญในประเทศ ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ Musim Mas Group, IOI Group (กลุ่มบริษัทมาเลเซียที่มีการดำเนินงานสำคัญในอินโดนีเซีย), Wilmar International (กลุ่มธุรกิจเกษตรของสิงคโปร์ที่มีการดำเนินงานอย่างกว้างขวางในอินโดนีเซีย), Triputra Agro Persada, Eagle High Plantations, First Resources, Asian Agri, Apical, Indofood Agri Resources, Salim Group (ซึ่งรวมถึง PT Perusahaan Perkebunan London Sumatra Indonesia Tbk และ PT Salim Ivomas Pratama Tbk), SMART (บริษัทในเครือ Golden Agri-Resources) และ PT Sampoerna Agro Tbk.
ประเด็นที่น่าสังเกตในโครงสร้างอุตสาหกรรมคือ การที่บริษัทสิงคโปร์และมาเลเซียร่วมกันควบคุมพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียถึงสองในสามของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ผ่านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นของอินโดนีเซีย.
ตารางที่ 2: ผู้เล่นหลักและสัดส่วนการผลิตในภาคปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย
ประเภทการเป็นเจ้าของ | สัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด (%) | สัดส่วนผลผลิต CPO ทั้งหมด (%) |
---|---|---|
บริษัทเอกชน | 48.5 | 53.5 – 56 |
เกษตรกรรายย่อย | 45 | 38 |
รัฐวิสาหกิจ | 6.5 | – |
ส่งออกไปยังชีต
ที่มา:
ตารางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจองค์ประกอบเชิงโครงสร้างและพลวัตทางอำนาจภายในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย การแสดงรายละเอียดการกระจายพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิต CPO ตามประเภทการเป็นเจ้าของ ทำให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเกษตรกรรายย่อยที่แม้จะมีพื้นที่เพาะปลูกมาก แต่กลับมีผลผลิตต่ำกว่า ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายรัฐบาลที่มักมุ่งเป้าไปที่สวัสดิภาพของเกษตรกรรายย่อย การระบุผู้เล่นหลักในภาคเอกชน (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ) ช่วยให้เข้าใจถึงแรงผลักดันเชิงพาณิชย์ที่กำหนดการตัดสินใจลงทุน กลยุทธ์การผลิต และพฤติกรรมตลาด การควบคุมพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมากโดยต่างชาติยังให้ความกระจ่างเกี่ยวกับอิทธิพลที่อาจเกิดขึ้นต่อนโยบายระดับชาติและการส่งกลับกำไร ซึ่งเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญสำหรับการทำความเข้าใจผลกระทบทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมและพลวัตของราคาอย่างรอบด้าน
ความไร้ประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างและความเปราะบางของเกษตรกรรายย่อย: แม้ว่าเกษตรกรรายย่อยจะมีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันทั้งหมดในอินโดนีเซียถึง 45% แต่การมีส่วนร่วมในผลผลิต CPO โดยรวมกลับต่ำกว่าอย่างไม่สมส่วนที่ 38%. ความแตกต่างนี้บ่งชี้ถึงความไร้ประสิทธิภาพเชิงระบบภายในกลุ่มผู้ผลิตที่สำคัญนี้ เนื่องจากผลผลิตต่อเฮกตาร์ของพวกเขาน้อยกว่าของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ถึงประมาณ 75%. ปัญหานี้เกิดจากการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นอย่างจำกัด เช่น ต้นกล้าคุณภาพ ปุ๋ย และความรู้ทางการเกษตรสมัยใหม่. ข้อจำกัดเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนทางการเกษตร บริการส่งเสริม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่และมีความสำคัญนี้ ซึ่งหมายความว่าการมีที่ดินมากขึ้นไม่ได้หมายถึงผลผลิตที่สัดส่วนกันหากขาดปัจจัยนำเข้าและความเชี่ยวชาญที่เพียงพอ
ความไร้ประสิทธิภาพนี้มีนัยสำคัญต่อกลไกราคาโดยรวมและความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรม ผลผลิตที่ต่ำกว่าในกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่หมายถึงต้นทุนการผลิตเฉลี่ยที่สูงขึ้นสำหรับปาล์มน้ำมันส่วนสำคัญของอินโดนีเซีย เมื่อราคาตลาดโลกลดลง เกษตรกรรายย่อยที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าเหล่านี้จะได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเดือดร้อนทางการเงิน การลดการลงทุนในการปลูกทดแทน (ซึ่งจะทำให้ปัญหาต้นปาล์มมีอายุมากขึ้นรุนแรงขึ้น) หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น สิ่งนี้สร้างราคาพื้นฐานที่แท้จริงซึ่งหากต่ำกว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จะไม่สามารถอยู่รอดทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งส่งผลต่อลักษณะและช่วงเวลาของการแทรกแซงของรัฐบาล นอกจากนี้ การทำงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานของกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่นี้ยังจำกัดศักยภาพการเติบโตของการผลิตโดยรวมของประเทศ ทำให้อินโดนีเซียยากที่จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การควบคุมโดยต่างชาติและอิทธิพลต่อตลาด: การที่บริษัทสิงคโปร์และมาเลเซียควบคุมพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันทั้งหมดในอินโดนีเซียถึงสองในสามผ่านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการร่วมทุน แสดงให้เห็นถึงระดับการเป็นเจ้าของและการควบคุมการดำเนินงานโดยต่างชาติในอุตสาหกรรมที่สำคัญในระดับชาติ การควบคุมโดยต่างชาติในระดับสูงนี้อาจมีรากฐานมาจากรูปแบบการลงทุนในอดีต ซึ่งบริษัทต่างชาตินำเงินทุนจำนวนมาก แนวปฏิบัติการจัดการขั้นสูง และการเข้าถึงตลาดเข้ามา การมีส่วนร่วมของพวกเขาอาจเกิดจากความต้องการที่จะรักษาแหล่งวัตถุดิบสำหรับธุรกิจปลายน้ำของตน หรือเพื่อใช้ประโยชน์จากสภาพการเกษตรที่เอื้ออำนวยและต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าในอินโดนีเซีย
การควบคุมโดยต่างชาติในระดับนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนด การนำไปใช้ และการตอบสนองต่อนโยบายภายในประเทศ เช่น Domestic Market Obligation (DMO) หรือภาษี/ค่าธรรมเนียมการส่งออก นโยบายเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลกำไรและกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่ที่ต่างชาติเป็นเจ้าของ ซึ่งอาจนำไปสู่การล็อบบี้หรือข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติเหล่านี้ (เช่น IOI Group, Wilmar International ) เกี่ยวกับการลงทุนในสวนปาล์มใหม่ ตารางการปลูกทดแทน และการจัดการห่วงโซ่อุปทานโดยรวม จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อปริมาณการผลิตรวมและกำลังการส่งออกของอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพลวัตของราคาโลก มุมมองตลาดโลกและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของบริษัทเหล่านี้อาจแตกต่างจากความกังวลภายในประเทศอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจสร้างจุดเสียดทานกับนโยบายของรัฐบาลอินโดนีเซียที่มุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ของชาติ
3.3 ภาพรวมห่วงโซ่อุปทาน
ห่วงโซ่คุณค่าของปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีการบูรณาการในแนวดิ่ง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มสด (FFB) ไปจนถึงการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) กระบวนการกลั่นในภายหลัง และการผลิตผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่หลากหลาย.
ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมีความหลากหลาย ครอบคลุมสินค้าอาหาร (เช่น ไอศกรีม ครีมเทียม เนยเทียม คุกกี้ ช็อกโกแลต) อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายจำนวนมาก (เช่น สบู่ก้อน สบู่เหลว ยาสีฟัน แชมพู ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอางทั่วไป) ยา หล่อลื่น และที่สำคัญคือ เชื้อเพลิงชีวภาพ.
ห่วงโซ่อุปทานโดยทั่วไปประกอบด้วยเกษตรกร (ทั้งเกษตรกรรายย่อยและเจ้าของสวนขนาดใหญ่) จุดรวบรวมต่างๆ (ที่เรียกว่า ‘ลานเท’) โรงงานสกัดปาล์มน้ำมัน (ตั้งแต่โรงงานสกัดขนาดใหญ่ไปจนถึงการดำเนินงานขนาดเล็ก) โรงกลั่น และอุตสาหกรรมปลายน้ำจำนวนมากที่แปรรูป CPO ให้เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง.
4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย
4.1 พลวัตด้านอุปทาน
แนวโน้มและความท้าทายในการผลิต: การผลิตปาล์มน้ำมันทั่วโลก รวมถึงในอินโดนีเซียและมาเลเซีย ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยการเติบโตชะลอตัวลงอย่างมากเหลือเพียง 1% ต่อปีในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา. นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในทศวรรษก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ถึงข้อจำกัดพื้นฐานในการเติบโตของอุปทาน
ความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญคืออายุที่เพิ่มขึ้นของต้นปาล์มน้ำมัน โดยทั่วไปต้นปาล์มจะให้ผลผลิตลดลงเมื่ออายุ 20 ปี และต้องปลูกทดแทนเมื่ออายุ 25 ปี อย่างไรก็ตาม ต้นปาล์มใหม่ต้องใช้เวลา 3-4 ปีจึงจะเริ่มให้ผลผลิต ซึ่งสร้างช่องว่างรายได้ที่สำคัญสำหรับเกษตรกรในช่วงเวลานี้. สิ่งนี้ทำให้เกษตรกรไม่ต้องการที่จะปลูกทดแทนอย่างทันท่วงที ซึ่งส่งผลให้ผลผลิต CPO ต่อเฮกตาร์ในอินโดนีเซียลดลง 11.4% เหลือเพียง 3.42 ตัน/เฮกตาร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา.
ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในมาเลเซีย ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการเก็บเกี่ยว. ปัญหานี้ยังคงมีอยู่และยังคงเป็นปัจจัยจำกัดสำหรับการผลิตทั่วทั้งภูมิภาค. นอกจากนี้ การแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องของเชื้อรา Ganoderma กำลังบั่นทอนผลผลิตและคุกคามประสิทธิภาพของสวนปาล์มที่มีอยู่. การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานปุ๋ยทั่วโลก ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามในยูเครน กำลังส่งผลกระทบต่อทั้งต้นทุนการผลิตและผลผลิตโดยรวม.
ผลกระทบของปรากฏการณ์สภาพอากาศ: ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง เช่นที่เกิดขึ้นในปี 2557-2559 เคยนำไปสู่การลดลงของผลผลิตปาล์มน้ำมันในประเทศผู้ผลิตหลักอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียถึงสองหลัก. เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ราคาเพิ่มขึ้น 1,000 ริงกิตต่อตันในช่วงเวลานั้น. ความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องของเหตุการณ์เอลนีโญในอนาคต ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่สามารถคาดเดาได้ต่อเสถียรภาพของอุปทานและความผันผวนของราคา
ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลกที่เชื่อมโยงกัน: การรวมกันของความท้าทายในการผลิตที่หลากหลายและยืดเยื้อ (สวนปาล์มที่มีอายุมาก การขาดแคลนแรงงาน โรคพืช และการหยุดชะงักของอุปทานปุ๋ย) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาที่แยกจากกัน แต่สร้างผลกระทบที่ทวีความรุนแรงต่ออุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลก ผลกระทบนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการที่อินโดนีเซียและมาเลเซียมีส่วนแบ่งตลาดที่โดดเด่นในการผลิตทั่วโลก.
เนื่องจากอินโดนีเซียและมาเลเซียรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 85% ของอุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลก ปัญหาที่แพร่หลายในภูมิภาคการผลิตที่สำคัญเหล่านี้จึงส่งผลกระทบอย่างไม่สมส่วนต่อปริมาณปาล์มน้ำมันโดยรวมที่พร้อมใช้งานทั่วโลก. การที่เกษตรกรไม่ต้องการปลูกทดแทนเนื่องจากช่องว่างรายได้ที่สำคัญในช่วงที่ผลผลิตลดลง ยังบ่งชี้ถึงอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่อการฟื้นตัวและการเติบโตของอุปทานในระยะยาว มากกว่าที่จะเป็นเพียงความล่าช้าชั่วคราว
ผลกระทบรวมของปัจจัยเหล่านี้หมายความว่าการเติบโตของอุปทานปาล์มน้ำมันทั่วโลกกำลังหยุดนิ่งหรือลดลง. สิ่งนี้สร้างภาวะขาดแคลนอุปทานเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืนเมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ การดูดซับภายในประเทศของอินโดนีเซียเพื่อผลิตไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น ความไม่สมดุลนี้ส่งผลโดยตรงต่อแรงกดดันด้านขาขึ้นต่อราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลก นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นโดยรวมของตลาดต่อความต้องการหรืออุปทานที่ไม่คาดคิดลดลงอย่างมาก การหยุดชะงักเพิ่มเติมใดๆ เช่น เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงอย่างเอลนีโญ อาจนำไปสู่การพุ่งขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญ ทำให้ตลาดปาล์มน้ำมันทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเกิดการขาดแคลนในอนาคตอันใกล้
4.2 พลวัตด้านอุปสงค์
การบริโภคภายในประเทศ: ความต้องการ CPO ภายในประเทศ ซึ่งถูกนำไปกลั่นเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อการบริโภคในครัวเรือนและใช้ในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์โอเลโอ (เช่น ยา สบู่ เครื่องสำอาง) เพิ่มขึ้น 1.3% ในปี 2565. การคาดการณ์ระบุว่าการบริโภค CPO ภายในประเทศทั้งหมดจะสูงถึง 26.1 ล้านตันในปี 2568 ซึ่งเน้นย้ำถึงตลาดภายในประเทศที่กำลังเติบโต
โครงการ “Minyak Kita” ซึ่งเป็นโครงการน้ำมันปรุงอาหารที่รัฐบาลกำหนดภายใต้มาตรการ Domestic Market Obligation (DMO) เป็นโครงการสำคัญที่มุ่งเป้าไปที่การรับรองความพร้อมของน้ำมันปรุงอาหารราคาไม่แพงภายในประเทศ การบริโภคน้ำมันปรุงอาหารจากปาล์มต่อหัวประชากรอยู่ที่ 9.56 กก./ปี ในปี 2566 ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบของโครงการต่ออุปสงค์ภายในประเทศ.
นโยบายไบโอดีเซล: อินโดนีเซียได้ดำเนินโครงการไบโอดีเซลที่มีความทะเยอทะยาน โดยมีวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้า โครงการนี้มีการเพิ่มสัดส่วนการผสมปาล์มน้ำมันในน้ำมันดีเซลอย่างต่อเนื่อง จาก B30 (เริ่มใช้ต้นปี 2563 ) เป็น B35 (เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ). รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนนี้เป็น B40 ในปี 2568 และกำลังพิจารณาการบังคับใช้ B50 ภายในปี 2569. นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาสัดส่วน B50.
นโยบายเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงและมีนัยสำคัญต่อการดูดซับ CPO ภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น นโยบาย B35 ทำให้การใช้น้ำมันปาล์มเพื่อผลิตเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเป็น 11.44 ล้านตันในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 9.6 ล้านตันในปี 2565. นโยบาย B40 ที่กำลังจะมาถึงในปี 2568 คาดว่าจะต้องการปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 3 ล้านตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะลดอุปทาน CPO ทั่วโลกประมาณ 400,000-500,000 ตันต่อไตรมาส. การจัดสรรรวมสำหรับไบโอดีเซลในปี 2568 ตั้งเป้าไว้ที่ 15.62 ล้านกิโลลิตร.
ตลาดส่งออกหลักและการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ทั่วโลก: อินเดีย จีน และสหภาพยุโรป (EU) เป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มที่สำคัญที่สุดของอินโดนีเซียในอดีต. ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้าน้ำมันปาล์มของอินเดียแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้น และการเปิดประเทศของจีนหลังการระบาดของโควิด-19 ได้กระตุ้นความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิด รวมถึงปาล์มน้ำมัน. อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 บ่งชี้ว่าการนำเข้าน้ำมันปาล์มของอินเดียลดลง 12% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งส่งสัญญาณถึงความต้องการที่อ่อนตัวลงชั่วคราวจากตลาดสำคัญนี้.
นโยบายสีเขียวของสหภาพยุโรปที่เน้นเชื้อเพลิงที่ยั่งยืนมากขึ้นและความพยายามที่จะลดการพึ่งพาน้ำมันปาล์มที่เชื่อมโยงกับการทำลายป่า ได้นำไปสู่นโยบายที่ส่งเสริมการใช้น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (UCO) เป็นวัตถุดิบสำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพ. ข้อจำกัดล่าสุดของอินโดนีเซียในการส่งออก UCO และ Palm Oil Mill Effluent (POME) ได้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่อาจล้นตลาดภายในประเทศ เนื่องจากผู้ผลิตประสบปัญหาในการระบายสต็อกส่วนเกิน.
ตารางที่ 3: วิวัฒนาการของนโยบายไบโอดีเซลและการบริโภค CPO ของอินโดนีเซีย (2565-2568)
ปี | นโยบายไบโอดีเซล | การบริโภค CPO สำหรับไบโอดีเซล (ล้านตัน) | การบริโภค CPO ภายในประเทศทั้งหมด (ล้านตัน) | ผลกระทบต่อปริมาณการส่งออก (ล้านตัน/ไตรมาส) |
---|---|---|---|---|
2565 | B30 | 9.6 | – | – |
2566 | B35 | 11.44 | – | – |
2567 | B35 | 2.01 (ก.ค.-ส.ค. Q3/2567) | – | – |
2568 (คาดการณ์) | B40 | 13.6 (คาดการณ์) | 26.1 (คาดการณ์) | ลดลง 0.4-0.5 |
ส่งออกไปยังชีต
ที่มา: (ข้อมูลปี 2567-2568 บางส่วนเป็นการคาดการณ์)
ตารางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในพลวัตของตลาดปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย การนำเสนอความคืบหน้าของนโยบายไบโอดีเซลและการเพิ่มขึ้นของการดูดซับ CPO ภายในประเทศอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงเจตนาเชิงกลยุทธ์ของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางพลังงานภายในประเทศมากกว่าการเพิ่มปริมาณการส่งออก ข้อมูลเชิงปริมาณนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าส่วนสำคัญและที่เพิ่มขึ้นของการผลิตปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียกำลังถูกเปลี่ยนเส้นทางจากตลาดโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานทั่วโลก และด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่อราคา ตารางนี้เป็นรากฐานเชิงประจักษ์ที่แข็งแกร่งสำหรับแนวคิด “ยุคของปาล์มน้ำมันราคาถูกได้สิ้นสุดลงแล้ว” เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงการลดลงเชิงโครงสร้างของส่วนเกินที่สามารถส่งออกได้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยนโยบาย ไม่ใช่เพียงแค่ความผันผวนของตลาด ตารางนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการทำความเข้าใจนัยยะระยะยาวของนโยบายพลังงานของอินโดนีเซียต่อตลาดปาล์มน้ำมันทั่วโลก
“ยุคของปาล์มน้ำมันราคาถูกได้สิ้นสุดลงแล้ว” – การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ขับเคลื่อนโดยนโยบายภายในประเทศ: นโยบายไบโอดีเซลที่เข้มข้นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (B35, B40 และอาจถึง B50) ไม่ใช่เพียงแค่การแทรกแซงตลาดชั่วคราว แต่เป็นการปรับโครงสร้างพื้นฐานของตลาดปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้กำลังเปลี่ยนปาล์มน้ำมันจากสินค้าโภคภัณฑ์อาหารที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก ไปสู่สินค้าที่มีการบริโภคภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญเพื่อวัตถุประสงค์ด้านพลังงาน.
นโยบายนี้ลดปริมาณ CPO ที่พร้อมสำหรับการส่งออกไปยังตลาดโลกโดยตรงและอย่างมีนัยสำคัญ แรงผลักดันหลักเบื้องหลังนโยบายนี้คือวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ระยะยาวของอินโดนีเซียในการบรรลุความพอเพียงด้านพลังงานและลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้า. นี่เป็นความจำเป็นด้านความมั่นคงของชาติและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้นโยบายนี้เป็นความมุ่งมั่นระยะยาวที่ฝังลึก แทนที่จะเป็นการตอบสนองระยะสั้นต่อสภาวะตลาด ความเต็มใจของรัฐบาลที่จะดูดซับ CPO จำนวนมากภายในประเทศ แม้จะแลกมาด้วยรายได้จากการส่งออกในบางช่วงเวลา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์นี้
ด้วยการดูดซับส่วนแบ่งการผลิตของตนเองที่เพิ่มขึ้น อินโดนีเซียกำลังทำให้ปริมาณปาล์มน้ำมันทั่วโลกตึงตัวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและถาวร การลดลงเชิงโครงสร้างของส่วนเกินที่สามารถส่งออกได้นี้ ประกอบกับความท้าทายในการผลิตที่มีอยู่ (ต้นปาล์มที่มีอายุมาก การขาดแคลนแรงงาน โรคพืช) หมายความว่าตลาดโลกจะเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทานอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ แนวคิดในอดีตของ “ปาล์มน้ำมันราคาถูก” ในฐานะน้ำมันพืชที่มีราคาต่ำและพร้อมใช้งานจึงกำลังล้าสมัย การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานนี้สร้างราคาพื้นฐานที่สูงขึ้นสำหรับปาล์มน้ำมันทั่วโลก และทำให้ราคาไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากอุปทานที่ล้นตลาดแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ราคาปาล์มน้ำมันจะได้รับอิทธิพลและเชื่อมโยงกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายพลังงานภายในประเทศของอินโดนีเซียมากขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะเป็นเพียงพลวัตของอุปสงค์และอุปทานของสินค้าโภคภัณฑ์อาหารแบบดั้งเดิม ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนใหม่ในการคาดการณ์ราคา
4.3 อิทธิพลของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลก
น้ำมันทดแทน: ราคาปาล์มน้ำมันมีความเชื่อมโยงและได้รับอิทธิพลโดยธรรมชาติจากราคาน้ำมันพืชคู่แข่ง โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวัน เมื่อราคาปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ซื้อมักจะหันไปหาสินค้าทดแทนที่มีราคาไม่แพง และในทางกลับกัน การลดลงของราคาปาล์มน้ำมันสามารถดึงความต้องการออกจากสินค้าทดแทนได้. แนวโน้มที่น่าสังเกตล่าสุดคือ ปาล์มน้ำมันบางครั้งมีราคาสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองในตลาดสำคัญอย่างอินเดีย ซึ่งเป็นการพลิกกลับจากส่วนลดในอดีต.
ราคาน้ำมันดิบ: แม้ว่าน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันดิบสามารถใช้ทดแทนกันได้ในบางกรณีของการใช้งานด้านพลังงาน แต่การวิจัยในตลาดประเทศไทยพบว่าไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างราคาน้ำมันดิบโลกกับราคา CPO. อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นสามารถสนับสนุนความต้องการ CPO ทางอ้อมได้โดยทำให้น้ำมันไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์มน้ำมันมีความน่าสนใจทางเศรษฐกิจมากขึ้นในฐานะเชื้อเพลิงทางเลือก.
5. นโยบายรัฐบาลและกรอบการกำกับดูแล
5.1 ภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียม
โครงสร้างและการคำนวณ: อินโดนีเซียใช้ระบบภาษีส่งออก (Bea Keluar/BK) และค่าธรรมเนียมส่งออก (Pungutan Ekspor/PE) คู่กันสำหรับ CPO และผลิตภัณฑ์อนุพันธ์. ค่าธรรมเนียมเหล่านี้กำหนดขึ้นตามราคาอ้างอิง CPO รายเดือนที่กำหนดโดยกระทรวงการค้า. ราคาอ้างอิงนี้คำนวณโดยใช้ค่ามัธยฐานของราคา CPO จากตลาดแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศที่เลือกไว้ โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย และรอตเตอร์ดัม พร้อมด้วยกฎเฉพาะเพื่อยกเว้นราคาที่ผิดปกติ.
วัตถุประสงค์: ค่าธรรมเนียมส่งออกที่จัดเก็บโดยสำนักงานบริหารกองทุนปาล์มน้ำมัน (BLU BPDP) มีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการเชิงกลยุทธ์ในภาคปาล์มน้ำมัน ซึ่งรวมถึงโครงการปลูกทดแทนที่สำคัญ การวิจัยและพัฒนา และที่สำคัญที่สุดคือโครงการไบโอดีเซลแห่งชาติ. กลไกนี้เน้นย้ำถึงรูปแบบทางการเงินที่ยั่งยืนด้วยตนเองสำหรับวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ระยะยาวของอุตสาหกรรม
ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน: ภาระทางการเงินสะสมที่เกิดจาก Domestic Market Obligation (DMO), ค่าธรรมเนียมส่งออก และภาษีส่งออก สามารถเพิ่มต้นทุนการส่งออกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับมาเลเซีย ซึ่งมักเผชิญกับภาษีส่งออกที่ต่ำกว่า. ตัวอย่างเช่น การส่งออกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียมีภาระค่าใช้จ่ายประมาณ 221 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมตริกตันในค่าธรรมเนียมต่างๆ ในขณะที่การส่งออกของมาเลเซียมีภาระประมาณ 140 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมตริกตัน.
การปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง: ลักษณะสำคัญของกรอบการกำกับดูแลนี้คือการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมและภาษีส่งออกบ่อยครั้ง ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมและผู้ซื้อระหว่างประเทศ. ตัวอย่างเช่น ค่าธรรมเนียมส่งออก CPO เพิ่มขึ้นจาก 7.5% เป็น 10% ในเดือนพฤษภาคม 2568 และอัตราเฉพาะสำหรับทั้งภาษีและค่าธรรมเนียมผันผวนตามราคาอ้างอิงที่ใช้บังคับ.
ตารางที่ 4: โครงสร้างภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย (ช่วงเวลาล่าสุด)
ช่วงเวลา | ราคาอ้างอิง CPO (USD/MT) | ภาษีส่งออก (USD/MT) | ค่าธรรมเนียมส่งออก (% ของราคาอ้างอิง) | ค่าธรรมเนียมส่งออก (USD/MT) | ภาระส่งออกรวม (USD/MT) |
---|---|---|---|---|---|
ม.ค. 2568 | 1,059.54 | 178 | 7.5% | 79.47 | 257.47 |
เม.ย. 2568 | 961.54 | 124 | 7.5% | 72.12 | 196.12 |
พ.ค. 2568 | 924.46 | 74 | 7.5% | 69.33 | 143.33 |
ส่งออกไปยังชีต
ที่มา:
ตารางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากแสดงให้เห็นถึงภาระทางการเงินโดยตรงที่นโยบายของรัฐบาลกำหนดต่อการส่งออกปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียอย่างเป็นรูปธรรมและเชิงปริมาณ การนำเสนอราคาอ้างอิง CPO ของกระทรวงการค้าควบคู่ไปกับการคำนวณภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมสำหรับช่วงเวลาล่าสุด ทำให้สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำว่าเครื่องมือนโยบายเหล่านี้ส่งผลต่อต้นทุนการส่งออกจริงอย่างไร ความสามารถในการเปรียบเทียบภาระเหล่านี้ในแต่ละช่วงเวลา (เช่น รายเดือน) เผยให้เห็นความถี่และขนาดของการปรับเปลี่ยนนโยบาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจความไม่แน่นอนของตลาดที่ผู้ส่งออกต้องเผชิญและผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอินโดนีเซียในระดับโลก นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงวัตถุประสงค์คู่ของค่าธรรมเนียมเหล่านี้: การสร้างรายได้สำหรับโครงการที่รัฐบาลกำหนด (เช่น ไบโอดีเซลและการปลูกทดแทน) และการทำหน้าที่เป็นกลไกในการลดการส่งออก ซึ่งเป็นการสนับสนุนอุปทานและเสถียรภาพราคาภายในประเทศทางอ้อม ตารางนี้เป็นภาพสะท้อนโดยตรงของบทบาทที่แข็งขันของรัฐบาลในการกำหนดกลไกราคาปาล์มน้ำมัน
5.2 Domestic Market Obligation (DMO) และ Domestic Price Obligation (DPO)
กลไก DMO: นโยบาย DMO กำหนดให้ผู้ส่งออก CPO และน้ำมันปาล์มที่ผ่านการกลั่น ฟอกสี และกำจัดกลิ่น (RBDPO) ต้องขายสัดส่วนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของปริมาณการส่งออกที่วางแผนไว้ (เช่น เริ่มต้นที่ 20% และต่อมาเพิ่มเป็น 30%) ภายในประเทศ. กลไกนี้ลดปริมาณปาล์มน้ำมันที่พร้อมสำหรับการส่งออกโดยตรง
กลไก DPO: เพื่อเสริม DMO นโยบาย DPO กำหนดราคาคงที่ ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาตลาด สำหรับ CPO และ RBDPO ที่ต้องขายภายในประเทศภายใต้โครงการ DMO (เช่น CPO ที่ 9,300 รูเปียห์/กก. และ RBDPO ที่ 10,300 รูเปียห์/กก. ในเดือนมกราคม 2565). สิ่งนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศสำหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
วัตถุประสงค์: นโยบายเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเป็นหลักเพื่อให้แน่ใจว่ามีอุปทานน้ำมันปรุงอาหารภายในประเทศเพียงพอและมีเสถียรภาพ และเพื่อควบคุมราคาภายในประเทศที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลกสูง.
ผลกระทบ: แม้จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มอุปทานภายในประเทศ และรักษาเสถียรภาพราคา แต่มาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่ “อุปทานส่วนเกิน” ภายในประเทศ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ลดปริมาณการส่งออกโดยรวม ซึ่งทำให้ปริมาณอุปทานทั่วโลกตึงตัวขึ้นและส่งผลต่อราคาในตลาดโลก.
5.3 การควบคุมราคาภายในประเทศ (โครงการ “Minyak Kita” และเพดานราคาค้าปลีก)
โครงการ “Minyak Kita”: โครงการที่รัฐบาลกำหนดนี้มีเป้าหมายที่จะจัดหาน้ำมันปรุงอาหารบรรจุหีบห่อราคาไม่แพงให้กับชุมชนทั่วไป รวมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (UMKM). ในเบื้องต้น โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากระบบเงินอุดหนุน โดยส่วนต่างระหว่างราคาตลาดและราคาที่ได้รับการอุดหนุนจะได้รับการชดเชยโดยสำนักงานบริหารกองทุนปาล์มน้ำมัน (BPDPKS).
ราคาสูงสุดค้าปลีก (HET): เพื่อบังคับใช้ราคาที่เข้าถึงได้ รัฐบาลได้กำหนดราคาสูงสุดค้าปลีก (HET) สำหรับน้ำมันปรุงอาหารประเภทต่างๆ (เช่น แบบบรรจุถุง แบบง่าย และแบบพรีเมียม). ตัวอย่างเช่น HET สำหรับ “Minyak Kita” กำหนดไว้ที่ 15,700 รูเปียห์ต่อลิตร และก่อนหน้านี้อยู่ที่ 14,000 รูเปียห์ต่อลิตร.
ความท้าทาย: แม้จะมีการควบคุมที่เข้มงวดเหล่านี้ การดำเนินการยังคงเผชิญกับความท้าทาย การสังเกตการณ์ภาคสนามเผยให้เห็นปัญหาต่างๆ เช่น การติดฉลากผิดและปริมาณที่ไม่ครบถ้วนของผลิตภัณฑ์ “Minyak Kita” และผลิตภัณฑ์บางรายการยังคงจำหน่ายในราคาเท่ากับหรือสูงกว่า HET อย่างเป็นทางการ ซึ่งทำลายความน่าเชื่อถือของตลาดและความไว้วางใจของผู้บริโภค.
การแลกเปลี่ยนนโยบายและการบิดเบือนตลาด: การใช้นโยบาย Domestic Market Obligation (DMO), Domestic Price Obligation (DPO) และระบบภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมที่ซับซ้อนและหลายชั้นของอินโดนีเซียอย่างเข้มข้นและหลากหลายรูปแบบ สร้างตลาดที่มีการจัดการอย่างสูง แม้ว่านโยบายเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะรักษาสมดุลของวัตถุประสงค์ระดับชาติที่สำคัญ เช่น การรับรองราคาที่เข้าถึงได้ภายในประเทศของน้ำมันปรุงอาหาร การบรรลุความมั่นคงทางพลังงานผ่านไบโอดีเซล และการสร้างรายได้สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่การบิดเบือนตลาดอย่างมีนัยสำคัญ.
แรงผลักดันหลักเบื้องหลังนโยบายเหล่านี้มักมีรากฐานมาจากเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศและสวัสดิภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับราคาและความพร้อมของน้ำมันปรุงอาหารที่เป็นอาหารหลัก. นโยบายไบโอดีเซลที่มีความทะเยอทะยานขับเคลื่อนโดยกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลนำเข้า. อย่างไรก็ตาม ลำดับความสำคัญภายในประเทศเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงและมักมีนัยสำคัญต่อตลาดส่งออกทั่วโลก ตัวอย่างเช่น คำสั่ง DMO ลดปริมาณ CPO ที่พร้อมสำหรับการส่งออกโดยตรง และภาระสะสมของภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมที่สูงสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการแข่งขันของปาล์มน้ำมันอินโดนีเซียในเวทีระหว่างประเทศ. การรายงาน “อุปทานส่วนเกิน” ในตลาดภายในประเทศ อันเป็นผลมาจากการจำกัดการส่งออก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบิดเบือนตลาดที่เกิดจากนโยบาย
กรอบนโยบายที่ซับซ้อนนี้สร้างระบบราคาหลายชั้นที่ราคาภายในประเทศมักถูกกดดันหรือรักษาเสถียรภาพต่ำกว่าราคาตลาดโลกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่ราคาส่งออกถูกเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพโดยการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม โครงสร้างราคาคู่ขนานนี้สามารถลดแรงจูงใจของผู้ส่งออก ซึ่งทำให้ปริมาณอุปทานทั่วโลกตึงตัวขึ้นและส่งผลให้ราคาในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ที่สำคัญคือ ราคาปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียไม่ได้ถูกกำหนดโดยกลไกตลาดเสรีอย่างแท้จริง แต่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการตัดสินใจเชิงนโยบายเชิงกลยุทธ์ของรัฐบาล ทำให้การคาดการณ์ที่แม่นยำมีความซับซ้อนมากขึ้น การปรับเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและมักไม่คาดคิด สร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญสำหรับทั้งผู้ซื้อระหว่างประเทศและผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนและการวางแผนระยะยาว นอกจากนี้ การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น การปลูกทดแทนและไบโอดีเซลผ่านค่าธรรมเนียมส่งออก สร้างวงจรป้อนกลับที่ไม่เหมือนใคร โดยรายได้จากการส่งออกในปัจจุบันสนับสนุนอุปสงค์และอุปทานภายในประเทศในอนาคต แต่บ่อยครั้งต้องแลกมาด้วยความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกในทันที
ความท้าทายด้านความน่าเชื่อถือและการบังคับใช้ในโครงการภายในประเทศ: แม้จะมีการจัดตั้งกรอบนโยบายและกลไกที่แข็งแกร่ง เช่น โครงการ “Minyak Kita” และการควบคุมราคาสูงสุดค้าปลีก (HET) ปัญหาที่ยังคงมีอยู่ เช่น การติดฉลากผิด การบรรจุไม่เต็มปริมาณ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกิน HET อย่างเป็นทางการ บ่งชี้ถึงช่องว่างที่สำคัญในการบังคับใช้ และตั้งคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับความสมบูรณ์และความโปร่งใสของตลาด
การไม่สามารถบังคับใช้การควบคุมราคาและมาตรฐานคุณภาพเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่อาจเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งอาจรวมถึงการกำกับดูแลและการบังคับใช้ที่ไม่เพียงพอ การแพร่หลายของกิจกรรมในตลาดมืดที่หลีกเลี่ยงช่องทางที่เป็นทางการ ต้นทุนการดำเนินงานหรือการผลิตที่สูงสำหรับผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกที่ทำให้การปฏิบัติตาม HET เป็นเรื่องที่ท้าทายทางเศรษฐกิจ หรือความไร้ประสิทธิภาพโดยธรรมชาติภายในห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศที่ผลักดันต้นทุนให้สูงขึ้นก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะถึงมือผู้บริโภค
ปัญหาที่ยังคงมีอยู่เหล่านี้บ่อนทำลายความไว้วางใจของผู้บริโภคในการควบคุมราคาของรัฐบาล และโดยรวมแล้วในความสมบูรณ์ของการค้าปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย การกัดเซาะความไว้วางใจนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากความมั่นคงของราคาและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ถูกบุกรุก อาจนำไปสู่ความไม่สงบทางสังคม ความไม่พอใจของผู้บริโภค หรือแรงกดดันทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นสำหรับการแทรกแซงของรัฐบาลที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนมากขึ้น สำหรับตลาดระหว่างประเทศ การรับรู้ถึงการขาดความโปร่งใสหรือความน่าเชื่อถือในแนวปฏิบัติของห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศของอินโดนีเซียอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อชื่อเสียงในฐานะผู้จัดหาทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าและความเต็มใจของผู้ซื้อระหว่างประเทศที่จะมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีข้อกำหนดด้านความยั่งยืนและจริยธรรมที่เข้มงวด
6. กลไกการกำหนดราคาปาล์มน้ำมัน
6.1 การกำหนดราคาในระดับเกษตรกร (ทะลายปาล์มสด – FFB)
อิทธิพลของราคาโลก: ราคาของทะลายปาล์มสด (FFB) ที่เกษตรกรในอินโดนีเซียได้รับได้รับอิทธิพลโดยตรงจากราคาปาล์มน้ำมันดิบ (CPO) ทั่วโลก โดยอ้างอิงจากตลาดซื้อขายล่วงหน้ากัวลาลัมเปอร์และรอตเตอร์ดัม. สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศและรายได้ของเกษตรกรในท้องถิ่น
ช่องทางการตลาด: FFB มักจะถูกส่งจากสวนไปยังโรงงานสกัดปาล์มน้ำมัน (POFs) ผ่านหน่วยงานการตลาดต่างๆ รวมถึงผู้รวบรวมหรือผู้ค้าส่งในท้องถิ่น. ระบบการตลาดที่มีหลายชั้นนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาที่เกษตรกรได้รับ (มักเรียกว่าส่วนแบ่งของเกษตรกร) และส่งผลให้รายได้โดยรวมของพวกเขา.
ส่วนแบ่งของเกษตรกรและความยืดหยุ่นของการส่งผ่านราคา: การวิจัยระบุว่าส่วนแบ่งของเกษตรกรจากราคาสุดท้ายอยู่ที่ประมาณ 66.03% ในขณะที่ส่วนแบ่งของพ่อค้าคนกลางอยู่ที่ 33.97%. ที่สำคัญคือ ความยืดหยุ่นของการส่งผ่านราคาจากราคา CPO โลกไปยังราคา FFB ในระดับเกษตรกรพบว่าไม่มีความยืดหยุ่น (et = 0.858). ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงราคา FFB ในระดับเกษตรกรมีอัตราที่น้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงราคา CPO โลกอย่างเป็นสัดส่วน แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากราคาโลกที่เพิ่มขึ้น
ช่องว่างราคาและความไร้ประสิทธิภาพ: บ่อยครั้งมีช่องว่างที่สำคัญและยืดเยื้อระหว่างราคา FFB อย่างเป็นทางการที่กำหนดโดยรัฐบาลท้องถิ่น (เช่น 2,300 รูเปียห์/กก. สำหรับเกษตรกรกลุ่มพลาสมาที่ร่วมมือกับบริษัท) และราคาจริงที่เกษตรกรอิสระได้รับ (เช่น 1,900-2,000 รูเปียห์/กก.). ความแตกต่างนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูง โดยเฉพาะต้นทุนการขนส่ง CPO ไปยังท่าเรือส่งออกหลัก ซึ่งท้ายที่สุดจะลดราคาซื้อ FFB จากเกษตรกร.
ทีมกำหนดราคาและแหล่งอ้างอิง: ในบางภูมิภาคการผลิตที่สำคัญ เช่น สุมาตราใต้ ราคา FFB จะถูกกำหนดสองครั้งต่อเดือนโดย “ทีมกำหนดราคา” ทีมนี้มักประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานไร่นา บริษัทปาล์มน้ำมันหลายแห่ง และสมาคมเกษตรกรปาล์มน้ำมัน (Apkasindo) ราคา FFB กำหนดขึ้นตามราคา CPO ระหว่างประเทศ โดยปกติจะอ้างอิงจากราคาในมาเลเซียและอัมสเตอร์ดัม และปรับด้วย “ดัชนี K” เพื่อคำนึงถึงต้นทุนการแปรรูปที่โรงงาน. เพื่อปรับปรุงการตอบสนองต่อพลวัตของตลาด รัฐบาลบางจังหวัด เช่น เรียว ได้ปรับปรุงราคา FFB รายสัปดาห์เพื่อให้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงราคา CPO แบบเรียลไทม์ได้ดีขึ้น.
การขายตรง: เกษตรกรมีศักยภาพที่จะเพิ่มผลกำไรของตนเองได้โดยการข้ามพ่อค้าคนกลางและขายผลผลิตโดยตรงให้กับโรงงานแปรรูป ช่องทางการตลาดโดยตรงนี้สามารถช่วยลดความแตกต่างของราคาที่พ่อค้าคนกลางได้รับ ซึ่งจะเพิ่มส่วนแบ่งของเกษตรกร.
การส่งผ่านราคาที่ไม่มีความยืดหยุ่นและข้อเสียของเกษตรกร: การส่งผ่านราคาที่ไม่มีความยืดหยุ่น (et = 0.858) จากราคา CPO โลกไปยังราคา FFB ในระดับเกษตรกร หมายความว่าเกษตรกรปาล์มน้ำมันไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากราคาโลกที่เพิ่มขึ้น และได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วนจากราคาที่ลดลง ข้อเสียเชิงโครงสร้างนี้รุนแรงขึ้นจากช่องว่างที่สำคัญและยืดเยื้อระหว่างราคา FFB ที่กำหนดอย่างเป็นทางการและราคาจริงที่ต่ำกว่าที่เกษตรกรอิสระได้รับ.
รายได้ของเกษตรกรตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาโลกในเชิงบวกได้น้อย และพวกเขามักได้รับน้อยกว่าที่ถือว่ายุติธรรมหรือสอดคล้องกับตลาดอย่างเป็นทางการ ความไม่มีความยืดหยุ่นในการส่งผ่านราคาน่าจะเกิดจากความไม่สมดุลของอำนาจและความไร้ประสิทธิภาพภายในช่องทางการตลาด พ่อค้าคนกลาง เช่น ผู้รวบรวมและผู้ค้าส่ง มักจะดูดซับส่วนแบ่งที่มากขึ้นของความผันผวนของราคาและส่วนต่างกำไร ซึ่งเป็นการป้องกันเกษตรกรจากผลประโยชน์ของตลาดโดยตรง กลไก “ทีมกำหนดราคา” แม้จะตั้งใจที่จะกำหนดราคามาตรฐาน แต่อาจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วได้ช้า หรืออาจไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับเกษตรกรรายย่อยอิสระ
ผลกระทบของการส่งผ่านราคาที่ไม่มีความยืดหยุ่นและช่องว่างราคาที่คงอยู่คือการลดแรงจูงใจสำหรับเกษตรกรในการลงทุนในสวนปาล์มของตนเอง เช่น การใช้ปุ๋ยคุณภาพสูงหรือการปลูกทดแทนต้นปาล์มที่มีอายุมาก. สิ่งนี้จะจำกัดศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตต่อเฮกตาร์และทำให้ความท้าทายด้านอุปทานโดยรวมรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาในตลาดโลกในที่สุด การที่เกษตรกรไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ยุติธรรมจากราคาตลาดโลกที่สูงขึ้นยังสามารถนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในชนบท และอาจกระตุ้นให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า หรือแม้กระทั่งละทิ้งการเพาะปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปทานในระยะยาวและเพิ่มความผันผวนของราคา
6.2 การกำหนดราคาที่โรงงานและราคาส่งออก
ราคาอ้างอิง: กระทรวงการค้าของอินโดนีเซียมีบทบาทโดยตรงในการกำหนดราคาเพื่อการส่งออก โดยการกำหนดราคาอ้างอิง CPO รายเดือน (Harga Referensi – HR). HR นี้เป็นพื้นฐานในการคำนวณภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียม HR มาจากค่ามัธยฐานของราคา CPO จากตลาดแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศที่เลือกไว้ (ตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย และรอตเตอร์ดัม) จากเดือนก่อนหน้า โดยมีกฎเฉพาะในการไม่นำราคาที่ผิดปกติมาพิจารณา.
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และอนุพันธ์ของอินโดนีเซีย (ICDX): ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และอนุพันธ์ของอินโดนีเซีย (ICDX) ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการค้นหาราคา CPO และการบริหารความเสี่ยงภายในประเทศ ICDX ได้เปิดตัวสัญญาซื้อขายล่วงหน้า CPOTR ในปี 2553 เพื่ออำนวยความสะดวกในการป้องกันความเสี่ยงสำหรับผู้มีส่วนร่วมในตลาดและให้การกำหนดราคาที่โปร่งใสซึ่งใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับราคา CPO ของอินโดนีเซีย. ในปี 2566 ICDX ได้ขยายบทบาทโดยการนำเสนอการซื้อขาย CPO ทางกายภาพผ่านกลไกการประมูลของตลาดแลกเปลี่ยน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการซื้อขาย CPO ภายในประเทศ. ICDX ร่วมมือกับ PT Indonesia Clearing House (ICH) และ PT ICDX Logistik Berikat (ILB) เพื่อจัดหาระบบนิเวศที่ครอบคลุมสำหรับการทำธุรกรรม CPO รวมถึงการหักบัญชี การบริหารความเสี่ยง และการจัดการโลจิสติกส์แบบบูรณาการ.
อิทธิพลของตลาดระหว่างประเทศ: แม้จะมีกลไกภายในประเทศ แต่ราคา CPO ในอินโดนีเซียยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากราคาตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาที่ค้นพบใน Bursa Malaysia Derivatives (BMD) และตลาดรอตเตอร์ดัม. เกณฑ์มาตรฐานระหว่างประเทศเหล่านี้มักทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้หลักสำหรับแนวโน้มราคาที่ผู้เล่นในประเทศต้องพิจารณา
ผลกระทบของราคาที่โรงงาน: การวิจัยชี้ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นเชิงบวกต่อราคา CPO ที่โรงงาน ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนนี้ของห่วงโซ่คุณค่าสามารถส่งผลกระทบต่อพลวัตของตลาดในวงกว้าง รวมถึงอัตราการทำลายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสวนปาล์มของเกษตรกรรายย่อยและสวนปาล์มผิดกฎหมาย. สิ่งนี้เน้นย้ำถึงนัยยะด้านสิ่งแวดล้อมของสัญญาณราคาในระดับโรงงาน
7. บทสรุป
กลไกราคาปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีการจัดการอย่างสูง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง การวิเคราะห์นี้ได้เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่กำลังกำหนดทิศทางของตลาดปาล์มน้ำมันทั่วโลกและภายในประเทศ
ประการแรก อินโดนีเซียในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก มีอิทธิพลอย่างมากต่อราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลก การตัดสินใจเชิงนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันโครงการไบโอดีเซลอย่างเข้มข้น กำลังเปลี่ยนทิศทาง CPO จากตลาดส่งออกไปสู่การบริโภคภายในประเทศเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงการแทรกแซงชั่วคราว แต่เป็นการปรับโครงสร้างตลาดอย่างถาวร ซึ่งนำไปสู่การลดลงของส่วนเกินที่สามารถส่งออกได้และสร้างแรงกดดันด้านขาขึ้นต่อราคาปาล์มน้ำมันทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวคิดของ “ปาล์มน้ำมันราคาถูก” กำลังล้าสมัย
ประการที่สอง ความท้าทายด้านอุปทานที่ยืดเยื้อ เช่น สวนปาล์มที่มีอายุมาก การขาดแคลนแรงงาน การระบาดของโรคพืช และการหยุดชะงักของอุปทานปุ๋ย กำลังจำกัดการเติบโตของการผลิตและทำให้ความเปราะบางของอุปทานทั่วโลกเพิ่มขึ้น ปัญหาเหล่านี้ เมื่อรวมกับนโยบายไบโอดีเซลที่เข้มข้น ทำให้ตลาดปาล์มน้ำมันมีความผันผวนมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเกิดการขาดแคลน
ประการที่สาม โครงสร้างอุตสาหกรรมที่เกษตรกรรายย่อยมีประสิทธิภาพต่ำและช่องว่างราคาที่คงอยู่ระหว่างราคา FFB ที่กำหนดอย่างเป็นทางการและราคาจริงที่เกษตรกรได้รับ แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลของอำนาจและปัญหาในการส่งผ่านราคาที่ไม่มีความยืดหยุ่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของเกษตรกรและศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตในระยะยาว
ประการสุดท้าย การใช้มาตรการ DMO, DPO และระบบภาษีส่งออกและค่าธรรมเนียมที่ซับซ้อนของรัฐบาล แม้จะมุ่งเป้าไปที่การรักษาเสถียรภาพราคาภายในประเทศและความมั่นคงทางพลังงาน แต่ก็สร้างการบิดเบือนตลาดและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในการส่งออก ความท้าทายในการบังคับใช้และการขาดความโปร่งใสในโครงการภายในประเทศบางอย่างยังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของตลาด
โดยสรุป กลไกราคาปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียเป็นภาพสะท้อนของความตึงเครียดระหว่างวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ของชาติกับพลวัตของตลาดโลกและความท้าทายเชิงโครงสร้าง การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการนำทางภูมิทัศน์ของตลาดปาล์มน้ำมันที่กำลังพัฒนา และสำหรับการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมความยั่งยืน ความสามารถในการแข่งขัน และสวัสดิภาพของผู้ผลิตในระยะยาว
แหล่งข้อมูลที่ใช้ในรายงานฉบับนี้youtube.comน้ำมันปาล์ม กาแฟ-โกโก้ หมดยุคราคาถูก? | เศรษฐกิจInsight 12มี.ค.68 – YouTubeเปิดในหน้าต่างใหม่krungsri.comแนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ปี 2567-2569เปิดในหน้าต่างใหม่investor.pce-th.comบทวิเคราะห์อุตสาหกรรมน ้ามัน ปาล์มเปิดในหน้าต่างใหม่uploads.tpso.go.thUntitled – Index of / – สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าเปิดในหน้าต่างใหม่thaipublica.orgASEAN Roundup อินโดนีเซียคุมเข้มส่งออกน้ำมันปาล์ม – ThaiPublicaเปิดในหน้าต่างใหม่so03.tci-thaijo.orgการบริหารโซ่อุปทานของผู้ประกอบการโรงงานสกั – ThaiJOเปิดในหน้าต่างใหม่efinancethai.comอินโดนีเซีย ควบคุมส่งออกน้ำมันปาล์ม กระทบอุปทานตลาดโลกหนักเปิดในหน้าต่างใหม่so02.tci-thaijo.orgปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศไทย – ThaiJOเปิดในหน้าต่างใหม่itd.or.th3.1 ภาพรวมห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมนามันปาล์ม – สถาบันระหว่างประเทศ …เปิดในหน้าต่างใหม่ditp.go.thภาคการผลิตเตรียมรับมือกับภาวะน้ำมันปาล์มล้นตลาด: อินโดนีเซียจำกัดการส่ง …เปิดในหน้าต่างใหม่bangkokbiznews.com’อินโดฯ-มาเลย์’หนุนเชื้อเพลิงชีวภาพแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มดิ่งเปิดในหน้าต่างใหม่prachachat.netเสียงเตือนจากอินโดนีเซีย คาดต้นปี 2025 น้ำมันปาล์มแพงขึ้น 10-15%เปิดในหน้าต่างใหม่today.line.meนักวิเคราะห์ชี้ หมดยุค “น้ำมันปาล์ม” ราคาถูก! หลังอินโดนีเซียผลักดันผลิตไบ …เปิดในหน้าต่างใหม่infoquest.co.thรอยเตอร์ชี้ โลกเข้าสู่ยุคน้ำมันปาล์มแพง หลังอินโดฯ หั่นส่งออก-เร่งผลิตไบโอ …เปิดในหน้าต่างใหม่persistencemarketresearch.comTop 4 Palm Oil Companies 2025 Leading with Ethical Sourcingเปิดในหน้าต่างใหม่indonesiabusinesspost.com10 largest oil palm plantations in Indonesiaเปิดในหน้าต่างใหม่ainvest.comIndonesia’s May CPO Reference Price Decline: Opportunities and Risks in the Palm Oil Market – AInvestเปิดในหน้าต่างใหม่researchgate.netOil palm plantation area in Indonesia during 2000-10 according to type… – ResearchGateเปิดในหน้าต่างใหม่palmoilmagazine.comDomestic Cooking Oil Supply Becomes Indicator of National CPO Stability? – Palmoilmagazine.comเปิดในหน้าต่างใหม่berkas.dpr.go.idPOLICY OF COOKING OIL PRICE CONTROL 13 – DPR RIเปิดในหน้าต่างใหม่palmoilmagazine.comIndonesia CPO Reference Price in April 2025 Rises 0.74%, Export Duty Remains US$ 124 per Ton – Palmoilmagazine.comเปิดในหน้าต่างใหม่palmoilmagazine.comIndonesia’s CPO Reference Price Drops 1.13% in January 2025 – Palmoilmagazine.comเปิดในหน้าต่างใหม่icdx.co.idOUR MARKETS | Indonesia Commodity & Derivatives Exchange (ICDX)เปิดในหน้าต่างใหม่en.wikipedia.orgIndonesia Commodity and Derivatives Exchange – Wikipediaเปิดในหน้าต่างใหม่indonesiabusinesspost.comGovernment raises CPO export levy to boost downstream industry | Indonesia Business Postเปิดในหน้าต่างใหม่gapki.idGAPKI Asks For Lower Export Tax To Trim USA Tariff Impactเปิดในหน้าต่างใหม่cyberleninka.ruPRICE TRANSMISSION ELASTICITY ANALYSIS OF CRUDE PALM OIL AND FARMER’S SHARE IN INDONESIA: A CASE OF SELF RELIANCE PALM OIL FARMER IN MUSI BANYUASIN DISTRICT, INDONESIA Текст научной статьи по специальности – КиберЛенинкаเปิดในหน้าต่างใหม่pwc.comPalm oil commodity: FFB price improvement needed – PwCเปิดในหน้าต่างใหม่แหล่งข้อมูลที่อ่านแต่ไม่ได้ใช้ในรายงานฉบับนี้
Leave a Reply